My great supervisor; Jeremy R Mason
Professor Dr. Jeremy R. Mason คนกลางภาพ สูทเทา ท่ามกลางลูกศิษย์
จากตอนที่แล้ว...เมื่อเราเข้าใน King's college วันแรก ทุกอย่างตื่นเต้นไปหมด เพราะเป็นอะไรที่ไม่คาดหวังในชีวิตว่าต้องมาเรียนตปท.เพราะไม่ชอบไกลบ้าน แม้จะมี signal บางประการล่วงหน้าประมาณ 3 ปี ไว้ค่อยเขียนวันหลัง เอาเป็นว่า Rojer Miles พาเราไปที่ห้องพักนักศึกษา เพื่อรอเวลา Jeremy มา ระหว่างรอครู่ใหญ่ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วมองๆเรา แล้วส่งเสียงทักเราก่อนว่า Are u Thai ? เมื่อตอบว่าไช่ ก็พูดไทยทันที เธอเป็นนักเรียนไทยคนแรกที่เรารู้จักที่นั่น เธอชื่อ "เป้า" เป็นเด็กของ Rojer Miles เป็นนักเรียนทุนของม.นเรศวร แต่ได้ทุนมาแบบไม่เต็ม ส่วนเกินเธอต้องจ่ายเองหมด ดังนั้นเป้าจึงทำงาน part time เป้าเป็นตัวอย่างที่ดีของความอดทนหลายอย่างที่เราได้เรียนรู้ เธอเป็นความอบอุ่นในช่วงแรกของการไปอยู่ที่นั่นของเรา เพราะเธอแนะบอกอะไรๆที่เราควรรู้คามแบบฉบับของเธอ เพราะความที่เธอต้องเป็นคนดูแลตัวเองทุกอย่าง เธอจึงเป็นคนที่เชื่อมั่นตัวเองและแข็ง พูดตรงมาก วันหลังจะมาบันทึกเรื่องของเธอและเราอีก...เธอเล่าให้ฟังว่าที่นี่มีนักเรียนไทยนับเราแล้ว 3 คน full time และอีก 1 คน part time ไปๆมาๆปีละ 2-3 ครั้งแล้วค่อยแนะนำให้เจอกัน
สักครู่หนึ่ง Jeremy ก็แวะมาดูเรา ก็เลยตามไปคุยด้วยที่ห้องพักอาจารย์ เป็นห้องเดี่ยวกว้างตื้น sofa นุ่มเตี้ยมากนั่งแล้วตัวจมไปเลย เริ่มต้นเขาก็ถามเรื่องวันหยุดว่าทำอะไรบ้าง แล้วก็ถามเราว่าเราสนใจด้านไหน ก็ตอบไปเหมือนที่เคยเขียน proposal 10 หัวข้อที่ส่งมา เพียงแต่ที่ค้างคาใจเราคือสาเหตุของความตั้งใจที่อยากจะทำวิจัยในเรื่องของกลิ่นจากโรงงานยางพาราที่เหม็นมาก เราอยากจะหาวิธีการกำจัดกลิ่นเหล่านั้น เพราะเยื้องๆมหาวิทยาลัยที่เราอยู่มี 2 โรงงานทำให้เกิดปัญหาจนเคยมีการประท้วงของนศ.และอาจารย์ที่หน้าศาลากลางจังหวัดมาแล้ว เพราะอุตสาหกรรมจังหวัดและหน่วยงานสวล.จังหวัดละเลย และเราอยู่ภาคใต้ที่มีการปลูกยางพาราและรง.ยางมีทุกแห่ง หากแก้ปัญหาได้คงดีไม่น้อย
Jeremy ก็ฟังเรื่อยๆ และในที่สุดอจ.ส่งเอกสารมาให้ 1 ชุด 50 หน้า บอกว่าให้ไปอ่าน 1 เดือนแล้วมาสรุปให้ฟังว่าจะทำอะไร สนใจอะไร คราวหน้าจะมาเขียนว่า เอกสารปึกนั้นคืออะไร??? ทำไมแค่นั้นต้อง 1 เดือน จากนั้นก็พาเราไปดูห้อง lab ว่ามีหน้าตาอย่างไร lab ของเราคือ 3.123 Microbiology group, School of Health & Life Science และมีนักศึกษาอยู่ในนั้นแล้วบ้าง ก็แนะนำให้รู้จัก ค่อยเขียนวันหลัง และให้เราหาที่ที่จะนั่งเองในห้องนั้น อะไรๆก็ยังไม่คุ้น ได้แต่ฟังๆๆอย่างเดียว ขนาดฟังสำเนียงอังกฤษของอาจารย์ก็ไม่คุ้น แล้วสำเนียงพูดของบ้านนอกอย่างเราอจ.ก็ไม่น่าจะคุ้น คิดย้อนหลังแล้วสงสารตัวเองและสงสารอจ.เหมือนกัน ฮิๆ อันนี้ใช้เวลาปรับตัวนานพอควรเกือบครึ่งปี จึงฟังทุกอย่างได้ และพูดได้ดีขึ้น ตอนไปสอบ IELTS ได้ 6.5 สอบครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต (เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ยากจะเชื่อ เป็นเรื่องแรงอธิษฐาน ค่อยเขียนบันทึกเมื่อถึงเวลาที่เหมาะ)
ด้านที่หันมา หน้าต่างชั้น 3 (นับจากล่างสุดก็ชั้น4) เป็นห้อง lab ของ research group เรา ตลอดแนว 4 ช่องหน้าต่าง