แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Dr.Rojer Miles แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Dr.Rojer Miles แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

My silent corner 11 : วันแรกที่เข้าใน King’s college 2

  My great supervisor; Jeremy R Mason

Professor Dr. Jeremy  R. Mason คนกลางภาพ สูทเทา ท่ามกลางลูกศิษย์

 ที่มาภาพ : http://www.kcl.ac.uk/kis/schools/life_sciences/life_sci/EBK/EBKtext.html

จากตอนที่แล้ว...เมื่อเราเข้าใน King's college วันแรก ทุกอย่างตื่นเต้นไปหมด เพราะเป็นอะไรที่ไม่คาดหวังในชีวิตว่าต้องมาเรียนตปท.เพราะไม่ชอบไกลบ้าน แม้จะมี signal บางประการล่วงหน้าประมาณ 3 ปี ไว้ค่อยเขียนวันหลัง เอาเป็นว่า Rojer Miles พาเราไปที่ห้องพักนักศึกษา เพื่อรอเวลา Jeremy มา ระหว่างรอครู่ใหญ่ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วมองๆเรา แล้วส่งเสียงทักเราก่อนว่า Are u Thai ? เมื่อตอบว่าไช่ ก็พูดไทยทันที เธอเป็นนักเรียนไทยคนแรกที่เรารู้จักที่นั่น เธอชื่อ "เป้า" เป็นเด็กของ Rojer Miles  เป็นนักเรียนทุนของม.นเรศวร แต่ได้ทุนมาแบบไม่เต็ม ส่วนเกินเธอต้องจ่ายเองหมด ดังนั้นเป้าจึงทำงาน part time เป้าเป็นตัวอย่างที่ดีของความอดทนหลายอย่างที่เราได้เรียนรู้ เธอเป็นความอบอุ่นในช่วงแรกของการไปอยู่ที่นั่นของเรา เพราะเธอแนะบอกอะไรๆที่เราควรรู้คามแบบฉบับของเธอ เพราะความที่เธอต้องเป็นคนดูแลตัวเองทุกอย่าง เธอจึงเป็นคนที่เชื่อมั่นตัวเองและแข็ง พูดตรงมาก วันหลังจะมาบันทึกเรื่องของเธอและเราอีก...เธอเล่าให้ฟังว่าที่นี่มีนักเรียนไทยนับเราแล้ว 3 คน full time และอีก 1 คน part time ไปๆมาๆปีละ 2-3 ครั้งแล้วค่อยแนะนำให้เจอกัน

สักครู่หนึ่ง Jeremy ก็แวะมาดูเรา ก็เลยตามไปคุยด้วยที่ห้องพักอาจารย์ เป็นห้องเดี่ยวกว้างตื้น sofa นุ่มเตี้ยมากนั่งแล้วตัวจมไปเลย เริ่มต้นเขาก็ถามเรื่องวันหยุดว่าทำอะไรบ้าง แล้วก็ถามเราว่าเราสนใจด้านไหน ก็ตอบไปเหมือนที่เคยเขียน proposal 10 หัวข้อที่ส่งมา เพียงแต่ที่ค้างคาใจเราคือสาเหตุของความตั้งใจที่อยากจะทำวิจัยในเรื่องของกลิ่นจากโรงงานยางพาราที่เหม็นมาก เราอยากจะหาวิธีการกำจัดกลิ่นเหล่านั้น เพราะเยื้องๆมหาวิทยาลัยที่เราอยู่มี 2 โรงงานทำให้เกิดปัญหาจนเคยมีการประท้วงของนศ.และอาจารย์ที่หน้าศาลากลางจังหวัดมาแล้ว เพราะอุตสาหกรรมจังหวัดและหน่วยงานสวล.จังหวัดละเลย และเราอยู่ภาคใต้ที่มีการปลูกยางพาราและรง.ยางมีทุกแห่ง หากแก้ปัญหาได้คงดีไม่น้อย

 Jeremy ก็ฟังเรื่อยๆ และในที่สุดอจ.ส่งเอกสารมาให้ 1 ชุด 50 หน้า บอกว่าให้ไปอ่าน 1 เดือนแล้วมาสรุปให้ฟังว่าจะทำอะไร สนใจอะไร คราวหน้าจะมาเขียนว่า เอกสารปึกนั้นคืออะไร??? ทำไมแค่นั้นต้อง 1 เดือน จากนั้นก็พาเราไปดูห้อง lab ว่ามีหน้าตาอย่างไร  lab ของเราคือ 3.123 Microbiology group, School of Health & Life Science และมีนักศึกษาอยู่ในนั้นแล้วบ้าง ก็แนะนำให้รู้จัก ค่อยเขียนวันหลัง และให้เราหาที่ที่จะนั่งเองในห้องนั้น อะไรๆก็ยังไม่คุ้น ได้แต่ฟังๆๆอย่างเดียว ขนาดฟังสำเนียงอังกฤษของอาจารย์ก็ไม่คุ้น แล้วสำเนียงพูดของบ้านนอกอย่างเราอจ.ก็ไม่น่าจะคุ้น คิดย้อนหลังแล้วสงสารตัวเองและสงสารอจ.เหมือนกัน ฮิๆ อันนี้ใช้เวลาปรับตัวนานพอควรเกือบครึ่งปี จึงฟังทุกอย่างได้ และพูดได้ดีขึ้น ตอนไปสอบ IELTS ได้ 6.5 สอบครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต (เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ยากจะเชื่อ เป็นเรื่องแรงอธิษฐาน ค่อยเขียนบันทึกเมื่อถึงเวลาที่เหมาะ)

ด้านที่หันมา หน้าต่างชั้น 3 (นับจากล่างสุดก็ชั้น4) เป็นห้อง lab ของ research group เรา ตลอดแนว 4 ช่องหน้าต่าง


จากนั้นอจ.บอกตารางนัดพบว่าของเราเป็นทุกๆวันอังคารบ่ายโมงถึงบ่ายสองโมงเป็นเวลาพบอาจารย์ เรามารู้ภายหลังว่า Jeremy เป็นคนที่ strict มากเรื่องเวลาและเป็นคนที่จัดการเวลาของลูกศิษย์ในการดูแลของเขาได้เข้มงวดมาก ทุกคนจะมีตารางนัดพบส่วนตัวหากมีปัญหาอะไรไปคุยได้เพราะชั่วโมงนั้นจะเป็นของคนๆนั้น แต่หากมีปัญหาในระหว่างนอกช่วงเวลาก็เข้าไปถามได้เช่นกัน หากไม่มีปัญหาก็ไม่เป็นไร ก็มาเรียนรู้ภายหลังอีกว่านั่นคือสิทธิและโอกาสที่เขาให้ทุกคนเท่ากันแล้วแต่จะใช้หรือไม่ เพราะ Jeremy เป็นคนเก่งมากและมีงานเยอะมาก ค่อยเขียนสรุปถึง Jeremy อีกครั้ง เกี่ยวกับการจัดการ lab และ research group ของเขาที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ group ของเขาใหญ่และมี research fund มากที่สุดคนหนึ่งของ UK เลยทีเดียว เราโชคดีมากที่โดยบังเอิญได้เข้ามาใน group ที่แข็งมาก แต่ขณะเดียวกันชีวิตไม่ได้สบายเลยภายใต้คนเก่งจากทุกทิศใน lab นี้ แล้วจะทยอยๆลง ...ขนาดบอกใครๆหลายคนว่า นรกมีจริงๆ ใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะพิสูจน์ตัวเองและทำตัวให้เข้มแข็งเพื่อที่จะสู้กับคนเก่งใน lab นี้ แต่มันเป็นรสชาติของชีวิตที่เปลี่ยนหลายอย่างในตัวเรา ทำให้เราแกร่งขึ้น smart ขึ้น และสุขุมขึ้นเช่นกัน

วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554

My silient corner 10 : วันแรกที่เข้าใน King’s college

My first time in King’s college




ด้านหน้าของมหาวิทยาลัย 3 ช่องกลางที่เห็นคือช่องทางเข้า ช่องแรกจะเป็นช่องที่มี security ตรวจบัตร ช่อง 2-3 เป็นประตูหมุนที่ควบคุมโดย security เช่นกัน
 ที่มาภาพ : http://www.scribblers.co.uk/blog/tag/ssi/

รออยู่ประมาณ 4 วันผ่านเทศกาล Easter ของเขา วันนี้เป็นวันแรกที่มหาวิทยาลัยเปิด เราตื่นเต้นมากจะได้เข้าไปในมหาวิทยาลัยเสียที จินตนาการไม่ออกจริงๆที่ตึกข้างนอกเท่าที่ดูทันสมัย ใหม่ สะอาด เมื่อเทียบกับอีกอาคารที่อยู่ติดกันมันดูเก่าแก่ โบราณ สวยด้วยศิลปะแบบยุโรป แต่คงไม่ค่อยชอบหากข้างในเป็นแบบนั้นเพราะน่าจะดูน่ากลัวๆ  มหาวิทยาลัยอยู่ตึกตรงกันข้ามกับหอพัก เพียงแค่เดินข้ามถนน ด้วยความที่คิดว่าเป็นแบบไทยๆคือ 8.00 am. ควรมีคนไปกันแล้ว ปรากฎว่ามันไม่ไช่อะไรที่คิด


บนซ้าย  ประตูหมุน  ขวา  หน่วยรักษาความปลอดภัยด้านหน้า ทันสมัย กล้องวงจรปิด ระบบ scan กรณีสงสัย

รูปสีสวยนี่เป็นจากประตูเข้า เป็นทางเดินแรกภายใน สุดทางเลี้ยวขวาเพื่อขึ้นลิฟท์

ตอนเดินเข้าตึกครั้งแรกก็งงๆ ประตูเป็นแบบช่องหมุนกลมๆแบ่งเป็นสี่ช่องต้องเดินดันตัวเข้าไปในช่องใดช่องหนึ่งที่หมุนออกมาตรงกับเราพอดีแล้วเหวี่ยงตัวเข้าไป คนอื่นก็รอจังหวะของตัวเองเหมือนเล่นเกมส์ชิงเก้าอี้เลย แต่เราไปเช้าประตูนี้ยังไม่เปิด ให้เข้าประตูปกติที่ผ่านเข้าช่องตรวจของจนท.รักษาความปลอดภัยของตึก (security) เพื่อดูบัตร แต่วันแรกเรายังไม่มีบัตร ไม่มีอะไร นอกจากเอกสารที่มหาวิทยาลัยรับตัวเรา เราก็อธิบายให้เขาฟัง เขาก็ให้เข้าไป จนท.ของที่นี่ส่วนมาก 95% เป็นคนผิวดำสนิท อยู่ไปๆก็รู้จักกันหลายคนเพราะเขาต้องเดินตรวจตึกทุกคืน พวกเราก็อยู่ทำ lab แต่เขาไม่มีสิทธิเดินเข้ามาในห้อง lab เป็นที่รู้กัน ยกเว้นกรณีสัญญาณไฟไหม้ดัง ประตูทุกประตูจะคลาย lock ออกเองโดยอัตโนมัติแปลกมาก ยามก็จะเข้ามาตรวจว่าไม่ให้มีคนอยู่ หรือแอบอยู่ในห้อง lab เลย (มีพวกเราเคยแอบ ไม่อยากลงไปเพราะงานค้าง) ค่อยเขียนเล่าวันหน้า


ตึกที่เห็นทั้งหมดสามชุดใหญ่ คือKing's college ตึกสีแดงหัวมุมโบราณมากเชื่อมกับ ตึก Franklin ตึกด้านล่างที่เห็นเป็นอีกส่วน เราปฐมนิเทศที่นี่

ผ่านเข้าในตึกทำให้รู้ว่าตึกเรียน modern แห่งนี้ชื่อว่า Franklin-Wilkins Building (Part of King's College London's Waterloo campus) ตึกนี้และชื่อนี้มีประวัติน่าสนใจ ค่อยเขียนอีก เดินเรื่อยๆ ตื่นตาตื่นใจกับอะไรที่เห็นทันสมัยดี เห็นทางขึ้นห้องสมุดแต่ยังไม่เดินขึ้นไป เลี้ยวไปขึ้นลิฟท์


 Top view ของตึก จะเห็นว่าลึกพอควร


Exterior of the Franklin-Wilkins building on Stamford Street

ลิฟท์ที่นี่ตัวใหญ่กว้างแบบของรพ. ก็มารู้ภายหลังว่าที่คิดว่าใหญ่นี่ยังเล็กในเวลาต่อมาเราะเราต้องใช้ลิพท์นี่ใส่รถเข็นขนสารจากชั้นใต้ดินขึ้นไป กดลิฟท์ตามที่ยามบอก ชั้น 3 พอลิฟท์จอด จะออกจากลิฟท์ก็มีเสียงใสๆตามมาทันทีว่า "Third floor" เดินออกมา ตึกเงียบมากจนน่ากลัว เดินไปเรื่อยๆดูภายในเป็นตึกสีขาวประตูขาว บานใหญ่ๆทั้งนั้น มีทางเดิน main เท่านั้นที่เปิดโล่งมองตลอดได้ ส่วนทางแนวขวางตึกจะมีประตูบานใหญ่หนักปิดกั้นมีช่องกระจกเล็กๆให้มองเข้าไปเหมือนห้องพักรพ.ก็จะเห็นทางเดินยาวอีกในแนวขวาง เราเรียกภายหลังว่า corridor lab เรา ( Biotechnology ) อยู่ corridor D,  lab biochemistry อยู่ corridor B เป็นต้น ช่องใครช่องมัน ในแต่ละ corridor แบ่งเป็นด้านซ้ายขวา ทางเดินค่อนข้างแคบ ต่างจาก main เยอะเลยที่กว้างมาก  ห้องแต่ละห้องปิดสนิท ไม่มีห้องแบบเปิดเลย มีป้ายชื่อและเลขห้องกำกับไว้ ซึ่งพอสุดทางขวางจะออกไปอีกเลี้ยวหนึ่งจะเจอประตูหนักๆแบบนี้อีก ภายหลังก็รู้ว่าประตูหนักๆพวกนี้คือ fire door ที่ปกติต้องใช้มือดัน ตะโพกดัน ตัวดัน เวลาถือของสองมือและต้องการผ่าน และเสียงจะดังแบบ ปึงปังๆๆ เวลาคนผ่านแต่ละด่านเข้ามาเราจะรู้แม้ว่าอยู่ในห้อง lab เราก็เดินผ่านประตูนี้เข้าไป เพื่อหาห้องพักของอาจารย์ผู้เป็น supervisor เราคือ  Professor Dr. Jeremy  R. Mason ซึ่งต่อไปจะเล่าเรื่องอาจารย์เก็บไว้ในนี้เป็นระยะ มีเรื่องที่ไม่คาดคิดของอจ.พอสมควร และอาจถือเป็นโชคดีที่ได้มีโอกาสอยู่ในกลุ่ม research lab ของอจ. บางครั้งคนเรากว่าจะรู้ตัวว่าเราได้โอกาสดี ได้สิ่งที่ดีมากแล้ว ก็ต่อเมื่อผ่านไปหรือมีการเปรียบเทียบหรือมีการบอกเล่า เราก็เช่นกัน ขณะที่เรียนในปีแรกก็มีแต่ why ?? เช่น why so strict ? กว่าจะรู้ตัวว่าโชคดีที่อยู่ใน lab biotech ที่ทันสมัยและดีที่สุดที่หนึ่ง ก็เมื่อมีนศ.กลุ่มอื่นๆมาขอใช้อุปกรณ์ และบ่นถึงกลุ่มของเขา และการจัดการในกลุ่มที่ต่างกันมาก เอาไว้แยกเขียนเรื่อง lab ของ jeremy ภายหลัง เราเรียกอจ.ว่า Prof.Mason เสมอ ในขณะที่เด็กต่างชาติอื่นๆจะเรียกว่า Jeremy ในนี้เราก็จะเรียกว่า Jeremy ก็แล้วกัน

เดินเข้ามาหาห้องพักอาจารย์ ก็เจออยู่ต้น corridor นี่เอง (ตรงข้ามห้อง lab ของ group ไว้ค่อยเขียนเรื่องการแบ่ง research lab ของที่นี่ ) มีห้องเยอะเลยใน corridor  ด้านห้องพักมี 6 ห้อง ห้องหน้ากว้างแต่ตื้น ด้านห้อง lab มี 2 lab ใหญ่ (2 research group)  แต่มีห้องเครื่องมือ และห้องสำหรับ autoclave อย่างเดียว และห้อง อุปกรณ์เฉพาะทางอีก 1 ห้อง (ภายหลังก่อนเราจบ set เป็น Genome lab ที่ทันสมัยมากแห่งแรกในUK เลยทีเดียว) ทันได้ใช้ 1 งานคือ RT -PCR

เดินไปมาตรงแถวนั้นเพราะเข้าห้องไหนก็ไม่ได้ มีระหัสหน้าห้องล็อกหมด ระหว่างคิดว่าจะทำไงดี ก็เจออจ.คนแรกในตึกต่างคนต่างมอง แล้วอจ.ก็พูดถามก่อนว่ามาหาใคร เราบอกว่า Prof. Mason อจ.ยิ้มแล้วบอกต่อเลยว่า ที่มาจากไทยไช่ไหม เราบอกว่า ไช่ งง! ว่าอจ.รู้ได้ไง อจ.ไม่ปล่อยให้งงนาน ก็บอกว่า Prof. Mason บอกไว้และกลุ่มผมมีเด็กไทยคนหนึ่งด้วย ชื่อ "เป้า pao" เขาก็บอกผมว่าเขาจะมีเพื่อนไทยมาแล้ว (เพราะที่นี่ภายหลังเพิ่งรู้ว่ามีคนไทย 3 คนเรียน full time อยู่คนละกลุ่ม อีกคน part time เป็นเภสัช) อจ.ท่านนี้ชื่อ Dr.Rojer  Miles ใจดี polite (อจ.เสียชีวิตในปีที่เราอยู่ปีที่2 ค่อยเขียนอีก) อจ.ก็บอกว่า คงต้องรอหน่อย แล้วก็พาเราไปที่ห้องพักอยู่นอก corridor ด้านหลัง..........เขียนตั้งยาวยังไม่เจอ Jeremy เลย คราวหน้าก็แล้วกัน  และในระหว่างนี้สามีที่มาส่งก็ออก survey by his own ไปก่อน