วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

31Oct:

เช้าไป scan นิ้วเปิดแบบจริงๆวันแรก วันนี้ช่วงเช้าเขาให้เป็น big cleaning day ไม่รู้มาก่อน บ่ายให้นักศึกษาพบอจ.ที่ปรึกษา แต่เราไม่เป็น เลยไม่มีอะไรว่าง ไปช่วยงานที่วัด พี่ติ่งนำที่ต้มน้ำเวลามีงานไปถวายพระอาจาย์เลยได้ฉลองศรัทธา ใช้ในงานตรวจข้อสอบของพระ วันนี้มีพระมาจาก 3  จังหวัดภาคใต้ มาตรวจข้อสอบนักธรรม ถวายเพล ไปซื้อขิงแก่ให้ท่านทิม ช่วยงานอื่นๆจนบ่ายสองเศษ กลับ เหนื่อยเพลียทั้งที่ไม่ได้วิ่งทำอะไร แค่นั่งอ่านงานวิจัยของพระรูปหนึ่งที่เอามาให้ดู แต่ตอนนั้นรู้สึกร้อนอ้าวมากๆแต่ทนนั่งอ่าน จนจบ  สงสัยถูกอบแห้ง

วันนี้ไม่ได้ตามข่าวน้ำ กลับมาเลยรู้สึกว่าน่าจะดีขึ้น แต่ดูไปๆ น่าจะยังไม่ดีอยู่

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

30 Oct: น้ำท่วม :อาหารไม่บูดเร็วทำอย่างไร ช่วยบอกต่อๆด้วยค่ะ


วันนี้ฝนตกหนักมากช่วงบ่าย แต่ไม่นานนัก บ่ายแวะไป Makro ซื้อเครื่องดื่ม ถวายพระที่พรุ่งนี้จะมาช่วยกันตรวจข้อสอบนักธรรม มากันประมาณร้อยรูป ปกติไม่ค่อยชอบไปห้างนี้เท่าใดนัก ค่อนข้างวุ่นวายและไม่ชอบกลิ่นข้างใน แต่วันนี้จำเป็น ก็เห็นของหมด shelf เป็นอะไรที่แปลกใจมาก แต่ก็พอเข้าใจ สภาพแบบใหม่ที่เขาเรียกกันว่า กระต่ายตื่นตัว :) ก็แล้วแต่จะตื่นมากตื่นน้อย คิดแล้วเราก็เหมือน..ว่าแต่เขาอิเหนาก็เคยเป็น ตอนเราไปเรียนที่อังกฤษ ครั้งแรกที่ไปขนของกินอย่างเดียว 5 กระเป๋า ทั้งๆไม่ไช่ภาวะสงครามหรืออะไร เป็นแค่คนบ้านนอกกลัวอดอาหารไทยเวลาไปตปท. แล้วนี่ประสาอะไรกับภาวะที่ไม่ปกติ แต่เรายังประมาทอยู่ ไม่ได้ซื้อของกินอะไรเก็บเท่าที่ควร มีแค่ขนมซื้อมาอาทิตย์เดียวก็กินหมดแล้ว

ติดตามดูข่าวน้ำท่วมต่อไป ได้ความรู้เกี่ยวกับแพจากวัสดุต่างๆ รูปแบบต่างๆ เลยคิดไว้ว่าจะให้นักศึกษาสิ่งแวดล้อมที่เรียนวิชามลพิษสิ่งแวดล้อมในเทอมนี้ ประดิษฐ์ ไว้ใช้แจกตอนน้ำท่วมภาคใต้ เทอมนี้มี case study ให้นักศึกษาได้เรียนรู้หลายประเด็น อย่างน้อยประเด็นแรกที่ให้เด็กค้นคว้า คือทำไมน้ำท่วมมากขนาดนี้ ให้หาเหตุผลทุกกรณีที่เป็นปัจจัย และปัจจัยที่ทำให้น้ำเสีย การจัดการน้ำเสียที่เกิด

อีกเรื่องที่ดูข่าวช่อง3 ที่ร่วมกับนายตัน ที่คิดว่าตั้งใจดี มีจุดประสงค์ดี แต่ไม่น่าจะเกิดผลเท่าใดนัก คือการเอาอาหารกล่อง อาหารสดที่ปรุงเสร็จที่คนมาบริจาค ใส่ตู้แช่แข็งที่ -5 C เพื่อให้อาหารเสียช้า เพราะที่ผ่านมาอาหารมักจะเสีย บูดเมื่อถึงมือผู้บริโภค เป็นความตั้งใจดี แต่อยากให้เขาทดลองเอาอาหาร(ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ฯ) ที่แช่แข็งแล้วนั้นออกมาตั้งให้คลายเย็นว่า ใช้เวลาเท่าใดจึงคลายเย็นหมด และเมื่อคลายแล้วหากไม่มีไฟฟ้า หรือแก๊สหุงต้มสำหรับอุ่น อาหารเหล่านั้นทานได้หรือไม่ ให้สังเกตุเม็ดข้าวดูให้ดี เพราะเราเคยทดลองมาแล้ว เคยทำมาแล้วตอนเรียนที่ตปท. แล้วจะรู้ว่าไม่work อยากให้มีการบอกเสนอไปยังช่อง3 ก่อนที่จะทำมากกว่านี้ หากเป็นการส่งไปที่ๆมีไฟฟ้าใช้ก็ย่อมได้ จริงๆวิธีการถนอมอาหารให้ยาวเป็นวันก็มีวิธีเช่น หุงข้าวสวยใส่น้ำส้มสายชูลงไปเล็กน้อย (ไม่ให้เปรี้ยว) ข้าวจะบูดช้า หุงข้าวให้ค่อนข้างแห้งไม่แฉะหรือเปียกมาก ตักข้าวใส่กล่องโฟมหรือถุงพลาสติกตอนอาหารเย็นลงแล้ว (ปิดคลุมภาชนะระหว่างรอ) เพื่อลดไอน้ำในกล่องหรือถุงลง กับข้าวที่ปรุงให้พยายามใส่เครื่องเทศ เช่นกระเพรา โหระพา ขมิ้น แต่ต้องผัดให้สุก เน้นต้องให้สุก ผัดผักทุกอย่างต้องสุก อย่าแบบครึ่งสุกครึ่งดิบ หรือไม่ก็ไม่ใส่ผัก โดยเฉพาะเห็ดไม่ควรใส่ หากเป็นข้าวหมูแดงไม่ต้องหั่นหมูเป็นชิ้นๆ ให้หั่นชิ้นใหญ่ชิ้นเดียวเท่าที่จะให้ เพื่อลดการ contaminate ลง แตงไม่ต้องใส่ ช่วงนี้หากทำเนื้อสัตว์ผัดเค็มแห้งๆใส่พริกไทย เนื้อสัตว์ผักซี่อิ้วดีที่สุด (อย่าให้แฉะมาก) แยกใส่ถุงต่างหาก ช่วงนี้ผักสดไม่ต้องแนบไป ภาวะเช่นนี้ไม่ต้องครบเครื่องเอาแบบที่ได้ทานดีกว่า ใครเข้ามาอ่านแล้วมีช่องทางบอกต่อช่วยบอกต่อด้วยค่ะ เพราะ meepole ไม่ได้ใช้ facebook

เข้าดูที่
http://meepole.blogspot.com/2011/10/blog-post_30.html

My Silent corner (6): Around King’s college-Covent garden


(ต่อ) เพราะช่วงนี้เป็นเทศกาล Easter มหาวิทยาลัยยังปิดอยู่ ใช้โอกาสนี้กับสามีสำรวจรอบๆบริเวณ (แต่ช่วงนั้นตลอดเวลาไม่มีความสุขเลย แอบกลัวลึกๆ ตลอดว่าต้องใช้ชีวิตคนเดียวที่นี่ และ จะเรียนยากลำบากขนาดไหน เป็นความกดดันลึกๆ ที่ซ่อนอยู่) โชคดีที่มีสามี (เรียก link) ที่แสนจะไฝ่รู้ และชอบเรียนรู้เส้นทางมากๆ พาสำรวจ สอนการเปิดแผนที่ดู zone ต่างๆใน London อธิบายให้ฟังอะไรเป็นอะไร พาไปซื้อตั๋วเดินทาง แบบ travel card ที่ waterloo  


จากนั้นวันถัดมาก็เป็นการเดินสำรวจรอบๆ King’s college เพื่อดูว่ามีอะไรบ้าง ไปไหนมาไหนอย่างไร  link พาไป Covent garden ซึ่งแค่เดินข้าม Waterloo bridge (แม่น้ำเทมส์) ที่อยู่ข้างมหาวิทยาลัย ใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาที ระหว่างเส้นทางได้เรียนรู้สิ่งใหม่เพิ่มขึ้นทุกวัน แต่ก็ไม่รู้สึกตื่นเต้นเพราะความกังวล ความกลัวที่ซ่อนลึกทำให้ไม่มีความสุขเลย นึกหลายครั้งนี่ถ้าเป็นคนอื่นที่ได้มาลอนดอนเช่นนี้คงสุข สดชื่นเหมือนยืนบนเนินเขา แต่เราไม่ไช่ ความสุขที่จะได้เรียนนั่นแน่นอนว่าชอบที่จะได้เรียนอะไรใหม่ๆ แต่การอยู่โดดเดี่ยวในตปท.เป็นเรื่อง น่ากลัวของเราจริงๆ

 เมื่อเดินไกล้ทางเข้า covent garden จะเห็นภาพเหล่านี้เป็นระยะๆ ที่จะมีคนแต่งตัวแปลกๆ มายืนในอิริยาบทต่างๆ ตอนเห็นครั้งแรกก็งงๆ ว่าอะไร?  เราไปขอถ่ายรูปได้ หากเราให้เงินวางในหมวกหรือภาชนะที่วางไว้เขาก็จะเปลี่ยนท่าเคลื่อนเหมือนตุ๊กตาไขลาน

The stunning facade of St Paul's, Covent Garden, designed by Inigo Jones as part of a commission by Francis Russell, 4th Earl of Bedford in 1631

เดินเข้าไปจะมี ตลาดที่เห็นคือ apple market ให้ shopping มีของมากมายที่ให้เลือก แต่ราคาไม่ต้องพูดถึงมีตั้งแต่ค่อนข้างแพง ถึงแพงมาก มีทั้งส่วนที่เป็นร้านที่อยู่ด้านข้างตลอดแนวและร้านค้าที่ขายพวกเทคโนโลยีพวก gadget shop ร้านคอมพิวเตอร์ Apple ที่สวยหรูก็ที่นี่ (รูปคราวหน้า)





Covent Garden is a London Underground station in Covent Garden. It is on the Piccadilly Line between Leicester Square and Holborn. The station is a Grade II listed building,[2] on the corner of Long Acre and James Street. It is in Travelcard Zone 1.
เป็นสถานีที่แปลกและน่ากลัว สำหรับเราใช้บริการสถานีนี้ไม่กี่ครั้งเพราะไม่ชอบบรรยากาศทึมๆในอุโมงค์ลึกที่ต้องลงไป ใช้ลิพฟ์ขึ้นลงสถานีเพราะอยู่ลึกลงไปเนื่องจากแถวนี้อยู่ไกล้แม่น้ำ



ครั้งเดียวย่อมไม่จบสำหรับ ที่นี่ ตอนหน้าเขียนต่ออีก

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

29 Oct: ธรรมชาติสั่งสอน


ทหารไทย รั้วของชาติ คนของแผ่นดิน

ตอนนี้กรุงเทพก็แย่มาก น้ำท่วมแผ่กระจายไปเรื่อยๆ เหมือนน้ำเขามีชีวิต ยกพลขึ้นบก โจมตีบุกไปเรื่อยๆ เสมือนหนึ่งโกรธแค้นคนมานาน ที่ไม่เกรงใจไปรังแกเขา ไปบุกรุกที่ๆเขาเคยอยู่ ไปถมที่ๆเขาเคยพัก ไปขวางเส้นทางที่เขาเคยจร สร้างเป็นโรงงาน เป็นหมู่บ้าน ถมเป็นที่รอขายมากมาย และที่ร้ยกว่านั้นคนไปรังแก ทำลายเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากของน้ำคือ ต้นไม้ ไปตัดไม้ทำลายป่า น้ำขาดผู้โอบอุ้ม ขาดความอบอุ่น จึงไม่มีใครจะเหนี่ยวรั้งเขาได้ เลยเข้าโจมตี แสดงพลัง จากที่หนึ่งสู่อีกที่หนึ่งบุกไปเรื่อยๆ แม้เจอที่กีดขวางหลายสิ่งก็ไม่ย่อท้อ ทัพหน้าตะลุย ทัพหลังตลบหนุนมาเรื่อยๆ เจอด่านหลายด่านที่คนทำไว้ดักน้ำ ที่ล้วนผ่านกาลเวลาที่ผ่านมานาน ไม่เคยตรวจตรา บำรุงดูแล ไม่รู้ว่าชำรุดหรือไม่ ไม่สำรวจว่าแข็งแรงหรือไม่ อยู่ด้วยความประมาท น้ำผู้ทรงพลังเย็นแต่แต่ไม่เฉื่อย และสามัคคีรวมพล สั่งงานประสานสามัคคี

เมื่อเข้ากรุงจึงกระจาย แบ่งสายออกไปทั่ว ไม่มีอะไรจะหยุดยั้งได้ ตอนนี้คนหลายฝ่ายต่างก็ออกมาทำหน้าที่ปกป้องในทุกรูปแบบ ตามแต่บทบาท หน้าที่ที่รับผิดชอบ และอีกหลายฝ่ายก็ได้โอกาสที่ดีที่จะใช้โอกาสวิกฤตนี้สร้างสรรค์สิ่งดีๆ ที่งดงามในการช่วยเหลือกัน ตามแต่โอกาสและก็ได้แต่หวังว่าเมื่อเขาท่องเที่ยวกวาดล้างจนพอแล้ว เขาจะกลับไปยังที่ๆเขามาอีกครั้ง พร้อมกับเหลือร่องรอย และบทเรียนอีกมากมายทิ้งไว้ให้ศึกษา ทิ้งปัญหาให้ต้องแก้ไข ปรับปรุง จัดการ ไม่รู้เหมือนกันว่าคนจะได้เรียนรู้อะไรจากบทเรียนครั้งนี้บ้าง

หากเราไม่โทษน้ำ ไม่โกรธน้ำ เราจะเห็นจุดบกพร่อง และความผิดที่เราไปเบียดเบียนเขามานานแสนนาน เขาได้พยายามส่งสัญญาณเตือนมาหลายครั้งแล้ว แต่เราไม่ใส่ใจ คิดว่าคนเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสมองและจัดการทุกอย่างได้ ไม่ยำเกรงธรรมชาติคิดประมาทว่าเขาทำอะไรเราไม่ได้

ดังนั้นบทเรียนชีวิตครั้งนี้ หวังว่าคงไม่คำนึงเพียงแค่การคำนวณออกมาเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูญเสียเพียงอย่างเดียว เพราะหากเรายังมองสิ่งที่เกิดขึ้นในแง่ของมูลค่าตัวเงิน ก็หมายความว่าเรายังไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย
________________________________________________________
วันนี้ทำอาหารไปถวายเพลพระอาจารย์ เอากาแฟ คุ๊กกี้กระป๋อง ไปถวายท่านสมบูรณ์ ไว้เลี้ยงพระที่จะมาตรวจข้อสอบกัน 100 กว่ารูปขากลับแวะซื้อขนมสองสามแห่ง 

เมื่อวานตรวจต้นฉบับ final draft ส่งโรงพิมพ์เสร็จก็ว่างสบายไปอีกงาน จากนี้คงต้องเตรียมสอนต่อสัปดาห์หน้าเปิดเรียนแบบเรียนจริงแล้ว

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

น้ำท่วม : ด่างทับทิมใช้อย่างไรให้ปลอดภัย

 

วันนี้นั่งเขียนเรื่อง  

น้ำท่วม : ด่างทับทิมใช้อย่างไรให้ปลอดภัย ตามอ่านได้ที่นี่  http://meepole.blogspot.com/2011/10/blog-post_28.html

ครึ่งวันเศษ อ่านหลาย paper บางเรื่องน่ากลัวจัง  มุดไปมุดมาเจอเรื่องที่ไม่คาดคิดที่เป็นดาบสองคม ของด่างทับทิม เหมือนที่เขาว่า มีคุณอนันต์ มีโทษมหันต์ คงเอาบางส่นที่เขียนได้มาเล่า บางเรื่องอยู่ในคดีศาลของตปท.ที่ไม่อนุญาตให้ reposted ขนาดเขียนห้ามไว้ดังนี้
IMPORTANT NOTE: THIS MATERIAL IS COPYRIGHTED BY THE AUTHOR AND MAY NOT BE REPOSTED, REPRINTED OR OTHERWISE USED IN ANY MANNER WITHOUT THE WRITTEN PERMISSION OF THE AUTHOR

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554

น้ำท่วม: ด่างทับทิม อย่าเข้าใจผิด อันตราย


เมื่อเช้านี้ได้ดูข่าวของ TV ช่อง PBS ที่มีการเชิญหลายๆคนที่มีประสบการณ์ด้านต่างๆออกมาให้ความรู้ เป็นรายการที่ดี ที่ meepole ได้โอกาสเรียนรู้หลายๆเรื่อง ดังนั้นไม่ว่าโทรทัศน์ช่องใด ใครเชิญใครมาให้ความรู้ก็จะดูและฟังเรียนร่วมรู้ไปด้วย และเชื่อว่ามีคนส่วนมากก็ติดตามเรียนรู้เช่นกัน  ดังนั้นการเสนอหรือแนะอะไรที่ไม่ถูกต้อง หรือที่ทำให้ เข้าใจผิด เป็นดาบสองคมที่อันตรายมากในตอนนี้ ที่คนกำลังตื่นกลัว กังวล บอกอะไรเขาก็ทำตามหมด

แต่เช้านี้มีการเชิญอาจารย์ท่านหนึ่งจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง มาพูดเรื่องน้ำดื่ม หลายอย่างที่พูดแปลกๆ แม้จะไม่ถูกต้องบ้างก็ไม่ serious ฟังไปเรื่อยๆแล้วก็บอกคนที่บ้านเราเองว่าตรงนี้ไม่ไช่ ตรงนี้ไม่ถูก ที่ถูกเป็นอย่างไร กลัวเข้าใจผิด พอดีมีแม่บ้านโทรเข้าในรายการ ถามเรื่องด่างทับทิม ที่เขามีอยู่ว่าจะใช้ฆ่าเชื้อได้ไหม ใช้อย่างไร  ใช้แค่ไหนจึงพอ เพราะเธอไม่มีคลอรีน  อาจารย์ท่านนี้อธิบายว่าใส่  2 หยด เธอก็บอกว่าด่างทับทิมเธอเป็นผง (จริงๆเป็นผลึก) ดร.ท่านนี้บอกว่าให้เอาไปละลายน้ำก่อนใช้ แล้วเก็บไว้ เวลาใช้ก็บีบใส่ 2 หยด  (ตรงนี้ไม่ถูกนักค่ะ)  และมาถึงตรงนี้พิธีกรถามว่าแล้วใช้น้ำยาอุทัยที่เป็นสีชมพูแบบนั้นจะเหมือนกันไหม ได้ไหม  ตอนนี้ดร.ท่านนี้บอกว่าเหมือนกัน หรือว่าไช่ ?? และจากนั้นพิธีกรถามในลักษณะที่มีคำตอบที่ทำให้เข้าใจว่าน้ำยาอุทัยกับเจ้าด่างทับทิมที่ละลายน้ำแล้วเป็นสีชมพูนั้นมีผลฆ่าเชื้อได้ และอาจเข้าใจผิดคิดต่อได้ว่ามันคือส่วนผสมที่คล้ายกัน (หากใครสามารถ replay เทปนี้ให้ลองเปิดดูและฟังใหม่)  ตรงนี้ ทำให้ เรารู้สึก serious เพราะความเข้าใจผิดตรงนี้ มีผลต่อสุขภาพและถึงแก่ชีวิตได้
จึงต้องเขียนหัวข้อนี้ น้ำท่วม :อันตราย อย่าเข้าใจผิด อุทัยทิพย์ ไม่ไช่ด่างทับทิม  ขึ้นมาเพื่อใครที่ได้ฟัง และเข้าใจผิดจะได้เข้าใจใหม่และอยากให้บอกต่อๆให้เข้าใจด้วย ว่าด่างทับทิม ไม่ใช่น้ำยาอุทัยทิพย์ และน้ำยาอุทัยทิพย์ไม่มีส่วนผสมของด่างทับทิม แม้ว่าจะมีสีชมพูอมม่วงเมื่อใส่ในน้ำ และวัตถุประสงค์การใส่ และคุณสมบัติของ2 สิ่งนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิง
อ่านรายละเอียดที่ http://meepole.blogspot.com/

วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2554

25 Oct:

วันนี้ตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต เตรียมต้นฉบับหนังสือที่ระลึกงานกฐินพระราชทานของวัด ส่งโรงพิมพ์ที่กทม. ทะยอยส่งจนตอนนี้ 5 ทุ่มเศษยังไม่เสร็จ

ตามข่าวน้ำท่วมเป็นระยะๆ สมาธิอยู่ที่งาน แต่ก็พอรู้ว่าวันนี้กรุงเทพวุ่นวยมากว่ทุกวันเพราะประกาศเตือนด่วนให้อพยพ ดอนเมืองท่วม สนามบิน นกแอร์หยุดบิน สั่งหยุดงาน เลื่อนเปิดเทอม วุ่นวายไปหมด

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

24 Oct: น้ำท่วม: น้ำเสีย-EM


อยู่บ้านทั้งวัน ทำความสะอาดบ้าน เสร็จเมื่อยมาก สงสัยจะแก่จริงๆ ไม่ไช่เริ่มแก่ :)

ติดตามข่าวน้ำท่วมต่อ วันนี้เริ่มมีข่าวน้ำเน่าเสีย ส่งกลิ่นบางแห่งแล้ว นี่เป็นแค่เริ่มต้น อีกประมาณเดือนเศษ จะมัปัญหาในลักษณะนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และแน่นอนไม่พ้นที่จะเริ่มมีคนเสนอให้ใช้ EM อีก วันนี้เลยเห็นบางหน่วยงานแจก EM เหลวไปฉีดแบบรดน้ำต้นไม้ ลงในพื้นที่ที่น้ำเริ่มเสีย  บางคน บางแห่งเริ่มรณรงค์ให้ช่วยกันทำ EM ball เพื่อเอาไปทิ้งในที่ๆน้ำเสีย ได้ยิน ได้เห็น และได้อ่านแล้ว ไม่รู้ว่าจะไปอธิบายหรือบอกได้ยังไง เพราะสังคมตอนนี้ถ้าไม่ไช่ศิษย์ก็สอนยาก แนะไม่ได้ข้อโต้แย้งตามมาวุ่นวาย แต่กังวลว่าหากมีการใช้ไม่ถูกวิธี ก็เหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เปลืองงบมหาศาลแล้วไม่ได้ประสิทธิภาพอีกด้วย หวังว่ากระทรวงวิทย์สวล คงมาดูแลนะ และบางครั้ง EM ไม่ไช่คำตอบของทุกอย่าง เรายังเคยคิดและบอกกับน้องๆที่จบจุลฯมาว่าศึกษาให้ดี อ่าน paper ให้มาก เพราะมีข้อโต้แย้ง ข้อสรุปที่แตกต่างกัน มีเงื่อนไขการใช้ ฯ  ทำความเข้าใจให้ดี และวิเคราะห์ให้ลึกเชิงเศรษฐกิจด้วย ก่อนจะแนะหรือสอนใครให้รู้จัก EM อย่าเอาแต่ตะบันใช้ รู้จักพื้นฐานเชื้อให้ดีก่อน
 Szymanski, N. and Patterson, R.A. (2003) Effective Microorganisms (EM) andFuture Directions for On-site Systems: Best Management Practice.by Patterson, R.A. and Jones, M.J. (Eds). Held atth September to 2nd October 2003.) in Proceedings of On-site ’03 Conference University of New England, Armidale 30

น้ำท่วม น้ำคำ น้ำใจ


เช้านี้ดูข่าวช่อง 3 มีนักข่าวถามผู้ที่จะอพยพออกจากศูนย์ช่วยเหลือของธรรมศาสตร์ที่เคยช่วยพวกเขาไว้เมื่อหลายวันมาโดยตลอด แต่ตอนนี้ธรรมศาสตร์ถูกน้ำท่วม ถูกตัดไฟ เดือดร้อนเหมือนที่อื่นๆแล้ว สิ่งที่เขาได้มีน้ำใจช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อ การอำนวยความสะดวกต่างๆลดลง การอพยพที่มากขึ้นทำให้แออัดไม่สบายเหมือนก่อน แลความสบายกำลังหมดไปเพราะถูกตัดไฟเพื่อความปลอดภัยเช่นกัน ทุกคนที่เป็นอาสาสมัครช่วยเหลือที่ไปๆมาๆก็เหนื่อยล้า และเดินทางมาลำบากแล้ว

ในศูนย์ช่วยเหลือมีผู้อพยพมาพึ่ง 4000 กว่าคน  นี่คือคำพูดส่วนหนึ่งที่คนอพยพกลุ่มนี้ตอบนักข่าว " อยู่ไม่ได้แล้วตอนนี้ต้องอพยพขึ้นชั้นบน ไปรวมกันกับที่มีอยู่เดิม  เขาปิดแอร์ แอร์ก็ไม่มี ร้อนมาก เด็กจะแก้ผ้านอนอยู่แล้ว เขาร้อน ชัก พัดจนเหนื่อยทำให้รู้สึกหายใจไม่ออก อาหารเพิ่งได้กินมื้อเดียว ร้อนมาก ญาติที่เป็นมะเร็งลำไส้ทรมาณ เขาจะช่วยย้ายไปรักษาที่โคราช ก็ไม่ไปเพราะเขาให้ไปคนเดียว ตอนนี้ลำบากมาก ต้องเดินออกมา ทหารไม่มาส่ง ....." น่าสงสารน้ำเสียงที่ขุ่นเคืองและใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ความเหน็ดเหนื่อย ความกังวลในเรื่องของตัวเอง การที่ตัวเองและญาติเดือดร้อน การที่ตัวเองและญาติไม่ได้รับความสะดวก การที่ญาติและตัวเองยังไม่ได้รับการบริการที่เร่งด่วน ...เราก็ดูด้วยความอึดอัด โชคดีมากที่ผู้สื่อข่าวที่กำลังสัมภาษณ์มีความคิด ไม่ไช่หุ่นยนต์หาข่าว จึงได้ตอบเขาไปทันทีที่เขาพูดว่าว่า "เขาปิดแอร์ แอร์ก็ไม่มี ร้อนมาก" ว่า  ไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยเขาถูกตัด เป็นการเตือนสติเขาได้บ้าง ว่ามหาวิทยาลัยไม่ได้ปิดแอร์ เขาบริการเปิดให้มาโดยตลอด แต่ตอนนี้จำเป็นน้ำท่วมไม่ปิดไฟ ถูกช็อตตายไปก็ถูกตำหนิอีก โดนทั้งขึ้นล่อง


 ....ตัดมาที่ห้องข่าว คุณสรยุทธ์ก็ช่วยแก้ให้ทหารทันทีเช่นกันว่า  ผมขออธิบายที่พูดว่า "ทหารไม่มาส่ง" ว่า "ผมอยู่และเห็นการทำงานของทหารที่นั่น เขาเหนื่อยกันมากในการพยายามทำงานเพื่อช่วยส่วนรวม ทำสะพานหลายจุดเพื่อให้พวกเขาได้เดินข้ามออกมา ทหารมาทำงานตั้งแต่ตี 5 และเร่งทำงานกันทั้งวันทั้งคืน เพื่อทำในสิ่งที่รองรับส่วนรวมที่กำลังเดือดร้อนอย่างเร่งด่วน" เราฟังแล้วโดนใจ เป็นสิ่งที่เราอยากบอกหลายๆคนที่เดือดร้อนเช่นกันว่าตอนนี้ทุกคนต้องพยายามมองอะไรให้ออกไปไกลตัวหน่อย เพราะทุกคนพยายามในสิ่งที่ดีที่สุดที่จะช่วยเหลือกัน แต่ตัวเองต้องช่วยเหลือตัวเองก่อนเท่าที่ทำได้และไม่ต้องกล่าวโทษใคร เพราะการคาดหวังจะรับอย่างเดียวตลอดเวลาจากเหตุการณ์ที่ส่วนรวมมากมายเดือดร้อนให้ทันใจถูกใจทุกคนย่อมเป็นไปไม่ได้ ต้องเข้าใจกัน (กรณีนี้ไม่ขอใช้คำว่า "ให้อภัยกัน" เพราะอาสาสมัคร ทหาร หรือคนที่มาช่วยเหลือ ที่ไม่ได้ช่วยเหลือคนใดคนหนึ่ง กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งนั้นไม่ผิด เพราะเขาก็มีภาระเร่งด่วนที่จะต้องช่วยเรื่องด่วน เรื่องใหญ่ ฉุกเฉินกว่า) หากพอดูแลตัวเองได้ต้องทำ และไม่ควรกล่าวโทษใคร ให้เกิดการเข้าใจผิด หรือบั่นทอนกัน คิดดี คิดให้ถูกก็ลดทุกข์ คนอื่นอีกมากมายที่เดือดร้อนกว่ายังมี

หลังจากนั้นรองอธิการ มธ.คนหนึ่งก็ออกมาพูดตอนหนึ่งถูกใจมากว่า " เราที่นี่เป็นศูนย์ช่วยเหลือ ไม่ไช่ที่กักกัน ดังนั้นตอนนี้ไม่สะดวกแล้ว ใครจะย้ายออกไปก็สามารถไปได้... และตอนนี้อาสาสมัดรของเราก็มีน้อยลงเพราะเหนื่อยล้าแม่ครัวกลับกันหลายคน ทำกันมาหลายวัน  และเดินทางมาลำบากแล้ว ....."

อยากให้ผู้ติดตามข่าว รู้จักแยกแยะระหว่างคำพูดของคนที่ต้องการจะรอรับความช่วยเหลือและไม่ได้ดั่งใจ กับผู้ที่พยายามที่จะเร่งและทำงานช่วยเหลือที่ไม่ได้ช่วยเพียงจุดเดียว เรื่องเดียว ที่ทำไม่ได้ดั่งใจคนรอรับความช่วยเหลือ 

และสิ่งที่เราอึดอัดใจก็มีคนมาช่วยให้ความยุติธรรมกับพวกเขา รั้วของชาติ ด้วยข่าวและภาพนี้

"คำขอบคุณและแรงใจ มอบให้ทหารช่วยน้ำท่วม"


หากดูแล้วเข้าใจพวกเขา ขอบคุณพวกเขา(ทุกฝ่ายที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือ) ที่ทำดีที่สุดแล้วก็อยากให้ช่วยบอกต่อๆกัน การได้สรรเสริญและเผยแพร่ความดี ของคนทำดี  น้ำท่วมบ้าน อย่าให้น้ำท่วมใจ อย่าให้น้ำท่วมปาก ช่วยกันยกย่องคนทำดี อย่าให้มีการบั่นทอนกันด้วยน้ำคำในภาวะวิกฤติเลย ก็เกิดกุศลค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2554

23 Oct: ถวายสังฆทาน/ ไปพรหมคีรี


วันนี้เช้าถวายสังฆทานอุทิศให้พระเทพสิทธินายก (ลพ.ข้อง เกสโร) อดีตเจ้าคณะจังหวัด ผู้เป็นอาจารย์ของเรา ท่านสอนเราตั้งแต่เด็ก ตอนเรียน รร.พุทธศาสนาวันอาทิตย์ พระอาจารย์ท่านเก่งมากเป็นนักกวีที่หาตัวจับยาก ภาษาอังกฤษ บาลี เก่งมาก เราโชคดีที่ในชีวิตนี้ได้เป็นลูกศิษย์ท่าน พระผู้สมถะมาก และท่านดับได้โดยไม่เจ็บป่วยอะไรให้ใครลำบากเลย มีสติจนวันสุดท้าย ด้วยวัย 96 ปี 80 พรรษา (พระ 77 พรรษา สามเณร 3 ปี) และถวายสังฆทานให้คุณแม่ทองเสียน ด้วย (จริงๆต้องทำ 28 กย.) เสร็จเดินทางต่อไปที่พรหมคีรี ร่วมงานกฐิน พระอาจารย์ไปแสดงธรรม  เสร็จบ่ายเศษ

เดินทางเข้าป่าอีกแวะเยี่ยมท่าน ๆเตือนเรื่องน้ำอีกแล้วคราวนี้ภาคใต้ แต่ให้ดูจังหวัดหนึ่งเป็น marker หากจังหวัดนี้เริ่มท่วมมากเมื่อใหร่ ให้เตรียมตัวทันที ครั้งที่แล้วเมื่อเดือนเศษที่ผ่านมา เรื่องน้ำท่วมกรุงเทพ ก็บอกบ้านญาติและพี่หนุ่ยเท่านั้น ตอนกลับใช้เส้นทางใหม่ที่ยังไม่เรียบร้อยเลาะแนวเขา ทางขรุขระ และแคบมาก เจอซ่อมทางเป็นช่วงๆ ผ่านไกล้ๆบ้านกงตอที่เคยเอาของไปช่วยตอนน้ำท่วมใหญ่ครั้งที่แล้ว เส้นทางที่ดินถล่มลงมายังซ่อมไม่เสร็จ ตั้งนานแล้ว

กลับมาแวะ Big C อีกเพราะต้องไปรับของ เดินเวียนดูของว่ามาเติมเต็มหรือยัง ก็ยังไม่เห็นของมาเติมเลย กลับบ้านติดตามเรื่องน้ำต่ออีก

My Silent corner (5): My accommodation in London 2 / Waterloo Station


(ต่อ) ช่วงที่มาถึง London เป็นเทศกาล Easter ของเขา (เมษายน)  ดังนั้นในหอพักปีกที่อยู่เลยเงียบๆอยู่ยังไม่เห็นใคร และช่วงนี้รู้สึกว่าน่าเป็นช่วงวันหยุดของนศ.ป.ตรี หอเลยเงียบ ตอนจองหอพักระบุเป็นหญิงล้วน และ no smoking  เมื่อจัดของและบรรจุของที่เอามาจนแน่นห้อง เหลือกระเป๋าที่บรรจุของแห้งไว้เพราะใส่ในห้องไม่หมด หุ หุ  จากนั้นเลยว่าง ก็ออกสำรวจรอบๆหอพัก หาแหล่งอาหาร เดินไปดูสถานีรถไฟ Waterloo (ที่ใหญ่มาก) The Waterloo Station, a large rail terminal. ชั้นล่างเป็น Eurostar สำหรับเดินทางไปฝรั่งเศส




Waterloo station  ในเส้นทางที่เราใช้เดินทางตลอด 3 ปี ตรงตำแหน่งนาฬิกานั้นคือ Burger King ที่เราแวะตอนเช้าหลายครั้งเพื่อซื้อ onion ring หุ หุ 35p แล้วก็มุดลงกระไดสถานีตรงกลางภาพ เดินลอดอุโมงค์ไปผ่านใต้ imax โผล่ขึ้นตรงข้างสะพาน waterloo ขึ้นบนฟุตบาท เดินอีกนิดก็เข้ามหาวิทยาลัย

รูปตั้งเป็นทางขึ้นจากอีกด้าน สถานีนี้มีทางขึ้นลงหลายช่องมาก เคยหลงหลายครั้งโผล่ออกไปเป็นงง รีบย้อนกลับ หาช่องลงใหม่ กว่าจะคุ้นเคย มึนไปหลายตลบ  เมื่อหอพักอยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัย และอยู่ไกล้สถานีรถไฟ การไปไหนเลยสะดวก แต่การเดินทางโดยรถเมล์ต้องเดินไกลหน่อย กว่าจะถึงป้าย ป้ายหน้ามหาวิทยาลัยเป็นป้ายเส้นทางที่เราไม่ใช้
 ตอนนี้แสดงเส้นทางและสถานที่รอบๆหอพัก ก็คือรอบมหาวิทยาลัยนั่นเอง


ล่าง: ที่เห็นแวปๆ กลมๆคือ โรงภาพยนต์สามมิติ IMAX ที่เขียนว่า BFI IMAX ตั้งอยู่หัวถนนฝั่งมหาวิทยาลัย (ที่หมุดแดงปักอยู่) ถัดลงมาก็เป็นสถานีรถไฟ



นี่ก็เห็นเส้นทางจากมหาวิทยาลัยไปสถานี เช่นนี้ทุกวัน



วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

22 Oct: ตั้งใจ บริสุทธิ์ใจ จริงใจ


เช้าเขียนหนังสือต่อจนบ่าย  ออกไปติดต่อโรงพิมพ์เพื่อพิมพ์หนังสือที่ระลึกงานกฐินพระราชทาน แต่โรงพิมพ์ที่นี่คิดแพงมากๆ เลยติดต่อไปที่กรุงเทพ  แล้วไปสั่งอาหารถวายพระพรุ่งนี้ ไปซื้อของสำหรับถวายพระพรุ่งนี้ที่ Big C  ตกใจมากของหายยก shelf งงๆ เลยคุยกันเองว่าทำไมเขาตกใจฝนตกเมื่อคืนหรือไง เลยกลัวน้ำท่วม ขณะบ่นกันก็สวนกับชายกลางคนที่เข็นรถที่ของพูนรถ เขาตอบเราว่านี่คุณเขาซื้อกันเพราะกลัวว่าจะไม่มีของ เพราะน้ำท่วมของจะไม่สามารถส่งลงมาได้ ของจะขาด และจะแพงมาก มีเงินอาจซื้อของไม่ได้เพราะไม่มีของ เออ ! เขาคิดกันไกลดี เขา(ส่วนใหญ่) อาจคิดถูก แต่แปลกที่เรายังไม่กังวล ไม่รู้ว่าตัวเองประมาทไปหรือเปล่า มองในตะกร้า เห็นเขาซื้อน้ำมันมากกว่า 10 ขวด น้ำเปล่าหลาย pack เราไม่ซื้ออะไรเพิ่มนอกจากของถวายพระ แต่เดินรอบๆเพื่อดูว่าอะไรที่เขาซื้อตุนกัน

ช่วงนี้เราได้เรียนวิชารับมือวิกฤติน้ำ หลายวิธี หลายเรื่อง ปวดหัวดี เพราะสารพัดรูปแบบ ทั้งจากตำราที่เอามาอ้างอิง  จากประสบการณ์ จากนักวิชาการ จากชาวบ้านที่มีประสบการณ์ เหนื่อยแทนบางคนที่พยายามช่วย ออกความคิดเสนอแนะ  เราเข้าใจพวกเขานะ เราไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมบางคนที่มีหน้าที่ไม่ฟัง หรือฟังแต่ไม่เชื่อ แล้วไม่ลอง ?? model น้ำดันน้ำ

ตอนนี้อยากบอกใครหลายๆคนว่า คงต้องพยายามซื่อสัตย์ จริงใจ รักแผ่นดินเกิดมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตน ส่วนกลุ่มได้แล้ว ประเทศชาติ ประชาชนส่วนใหญ่เดือดร้อน ไม่มีใครจะมีความสุขจากการแสวงหาผลประโยชน์แอบแฝงต่างๆจากเหตุการณ์ตรงนี้หรอก ไม่ช้าก็เร็วบาปกรรมมีจริงนะเออ ขอเพียงตั้งใจ บริสุทธิ์ใจ จริงใจในการแก้ปัญหา  เพียงแค่นี้ไม่มีอะไรที่แก้ไม่ได้

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554

21 Oct: แล้วก็เรียนรู้จากสื่อ



วันนี้ซ้อมใหญ่รับปริญญา ฝนตกช่วงเช้าแต่ไม่นาน หลังจากนั้นก็มีแสงแดด ดีใจแทนแม่ค้าพ่อค้าที่ขายของริมทาง ไม่งั้นตุ๊กตา ดอกไม้เปียกหมด ส่วนที่จ่ายค่าเช่าในมหาวิทยาลัยก็มีเต็นท์เล็กๆ ยังไงฝนตกก็เปียกเช่นกัน อาทิตย์หน้าอีก 7 วันจึงรับปริญญา ตอนนี้ก็เร่งปูฟุตปาทตลอดทางเข้าในมหาวิทยาลัยระยะทางประมาณครึ่งกิโลเมตร อีกด้านเพิ่งรื้ออิฐบล็อกออก เลยภาพทางเข้าไม่สวยงามนัก อาทิตย์หน้าคงเสร็จทัน รอยรั่วหอประชุมคงปะแล้ว ที่ห่วงคือน้ำที่ขังทุกครั้งใต้หอประชุมเมื่อฝนตก หากเกิดฝนตกวันนั้น หรือก่อนหน้านั้น บัณฑิตคงลำบากหน่อย หอประชุมนี่เพิ่งสร้างเสร็จราคาเกือบ 200 ล้าน รั่วแล้วรั่วอีก ซ่อมใหญ่หลายล้านแล้วในปีที่ผ่านมา ซ่อมประมาณ 3 ครั้งท่ามกลางความแปลกใจของหลายคนที่รู้เรื่อง แต่เราไม่แปลกใจเพราะเข้าใจธรรมชาติของ "คน บริหาร" (ที่นี่) ไม่เป็นไร เงินภาษีแผ่นดิน เงินแผ่นดิน ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก

บ่ายไปเยี่ยมท่านทิม ที่ไม่สบายเพิ่งออกจากรพ. ต้มน้ำขิงแก่ไปให้ด้วย สนทนาประมาณ 1 ชั่วโมงกลับ

วันนี้ทองคำบาทละ 23,950 ถือว่าราคาลงมากพอสมควร กิ่งเลยโทรมาบ่น (ตอนราคาสูง ไม่บ่นแฮะ) เราเองก็ไม่เคยติดตามสนใจก็ได้แต่ช่วยรับฟังๆๆๆ มึนไปเลย

ในที่สุดน้ำเข้ากทม.ได้ วันนี้ก็เลยล้นคลองประปามาถึงหลักสี่ วิภาวดี ติดตามข่าวจากสื่อทุกสื่อ ได้ยินได้เห็น ได้รับรู้จากสื่อแล้ววิเคราะห์การจัดการ การทำงานแก้ปัญหา แล้วเห็นด้วยกับที่รมต.จีนที่เข้ามาศึกษาดูการแก้ปัญหานี้ได้พูดวิจารณ์ไว้ แต่ก็นั่นล่ะเพราะนี่คือ การทำงานแบบไทย ก็ต้องเอาใจช่วยปชช.ตาดำๆ  และก็มีข่าวมากมายที่วิพากย์การทำงานของฝ่ายต่างๆทั้งบวกและลบ

สังคมตอนนี้ บ่นก็ไม่ได้ เตือนก็ไม่ได้  ว่าก็ไม่ได้  ติก็ไม่ได้  ตำหนิก็ไม่ได้  แนะนำก็ไม่ได้  เป็นถูก post ด้วยคำไม่สุภาพตามมามากมาย กล่าวชมได้อย่างเดียว  ประเทศเลยพัฒนาช้า การยกยอปอปั้นใครถูกปั่นก็ชอบ แต่ส่วนมากคำเหล่านั้นไม่สร้างสรรค์อะไรเลย สงสารคนที่หวังดีต่อประเทศหลายๆคน ตอนนี้เลยเก็บปากเก็บคำ ขนาดเก็บก็ถูก post ว่าอีก ว่า...หายหั_ ไปไหนหมด

เตือนก่อน ก็ถูกด่าว่าตื่นตูม บอกหลังเกิดเหตุขึ้นแล้ว ก็ว่าดีแต่พูดทำไมไม่บอกก่อน ยุคนี้ผิดทั้งขึ้นทั้งล่อง คนที่ตั้งใจจะทำในสิ่งที่ดีและถูกต้องจึงต้องเข้มแข็ง ไม่สั่นคลอนหรือหวั่นไหวต่อคำพูดต่างๆ เชื่อมั่นในความถูกต้อง ความตั้งใจดี ความดีของตนเอง เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และคนดีจะเห็นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554

20 Oct: ส่งเกรด/กัตดาฟี




วันนี้เช้าไปวัดตามปกติ เล่าเรื่องคลิปเด็กจีนวัย 2 ขวบที่ถูกรถชนแล้วทับซ้ำ และคนเดินผ่านไปมามองเห็นแต่ผ่านไปคนแล้วคนเล่า ไม่กระทั่งแวะมองหรือให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นหรือกระทั่งเรียกให้คนมาช่วย จิตกระด้าง ใจดำจริงๆ เป็นกระแสวิพากย์ไปทั่วโลก ว่าโลกใบนี้เกิดอะไรขึ้น??
แล้วรีบเข้ามหาวิทยาลัยส่งเกรด โชคดีที่ส่งทันก่อน net ล่มอีกครั้ง วันนี้ซ้อมรับปริญญาวันที่สอง พรุ่งนี้ซ้อมใหญ่

วันนี้เพื่อนชวนให้ไปซื้อข้าวสาร อาหารแห้งมาเก็บ ก็เลยไปด้วย แต่ไม่ได้ซื้ออะไรมาตุนนักเพราะใจยังไม่มีความตื่นตัวหรือกังวล เอ! เราประมาทไปหรือเปล่า แต่ก็ซื้อข้าวสาร 2 pack แบบดูดอากาศออก เพราะเก็บได้นานกว่าและปลอดจากมอดแน่นอน แต่แน่ๆซื้ออาหารเม็ดของหมา 3 กระสอบ

วันนี้ข่าวของโลกคือ กัตดาฟี ถูกยิงตายแล้ว ไม่ว่าจะตัวจริงหรือไม่ก็ตามแต่ก็เห็นความจริงของชีวิตคือไม่มีใครใหญ่หรืออยู่ค้ำฟ้า ดังนั้นก็อย่าลืมตัว

พฤษภกาสร    อีกกุญชรอันปลดปลง
โททนต์เสน่งคง     สำคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวาย    มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา

การจากไปของทั้งวีรชนและทรชนหลายต่อหลายคน ควรจะเป็นแง่คิดให้คนที่ยังเหลือชีวิตอยู่ ได้คิดบ้างว่า
เวลาที่นับถอยหลังของนาฬิกาชีวิตนั้น ควรทำอะไรที่ถูกต้อง ที่เป็นความดี ไม่เบียดเบียน บ้างหรือยัง และได้สำนึกและกลับตัวกลับใจ ได้ละชั่ว กลัวบาปบ้างหรือยัง ??

วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

19 Oct: เฮ้อ!

ตรวจข้อสอบเสร็จ เฮ้อ! เหนื่อยใจ ไม่รู้ความรู้หายไปไหนหมด ให้เล่าสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมในประเทศหรือในโลกที่เกิดขึ้น ตอบมาได้อยู่คนเดียว นอกนั้นสงสัยเพิ่งกลับมาจากนอกโลก เลยเขียนไม่ได้  เฮ้อ! 

ส่วนพิษวิทยา สงสัยจะสอบผ่านคนเดียว ก็แปลกใจว่าอ่านหนังสือผิดเล่มกันหรือไงเลยตอบคนละทิศละทาง วัดความรู้ไม่มี ความคิดไม่มี ความเข้าใจ ไม่ต้องพูดถาม A ตอบ  B  แล้วจะให้ว้ดอะไร? เฮ้อ!

พรุ่งนี้ไปส่งเกรด

วันนี้คนซักผ้าม่านเอาผ้าม่านมาติดคืน หอมหวลด้วยกลิ่นสารพิษ เปิดหน้าต่าง เปิดพัดลมระบายกลิ่นน้ำยาซักผ้า คงอีกหลายวัน โชคดีที่ระวังไว้แล้วเลยไม่ให้ซักผ้าม่านในห้องนอน ไม่งั้นคงนอนไม่หลับไปหลายคืน เฮ้อ!

ในที่สุด 3 นิคมก็แพ้แรงน้ำ   เฮ้อ!   ภาวนาให้ที่เหลือรอด ปลอดภัย
วันนี้ฝนตกแล้วตามพยากรณ์ อากาศเริ่มเย็นมากลงทันที  โทรถามข่าวน้าแดง พี่หนุ่ย กำลังยกของขึ้นเตรียมตัวเช่นกัน เฮ้อ! 

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

18 Oct: อ่านแล้วเปรียบเทียบ


ที่มาภาพ: timeisloveblog.com

ข่าวน้ำท่วมยังคงวุ่นวาย ดูไปก็เกิดความรู้สึกหลายอย่าง ชีวิตนี่อนิจจังจริงๆ เคยได้ยินที่ว่า จนหรือรวยสุดท้ายก็เชิงตะกอนเดียวกัน  ตอนนี้เห็นจนหรือรวยเมื่อน้ำท่วมบ้านหมดก็ต้องมาศูนย์อพยพ (หากไม่มีบ้านญาติ) และก็เห็นคนไทยไม่ว่าอาชีพ ฐานะอย่างไรเมื่อเดือดร้อนก็มีคนที่มีน้ำใจช่วยร่วมแรงร่วมใจกัน เห็นภาพสามัคคีกระสอบทรายแล้วอยากให้จิตที่ดีเช่นนั้นเบ่งบานในใจเขาตลอดไปจัง

“My religion is very simple. My religion is kindness.”

-Dalai Lama

แต่เราได้อ่านข่าวจากหลายๆที่ก็ได้ทั้งส่วนดีและไม่ดีของคนในยามลำบากอ่านแล้วก็เหนื่อยใจแทนคนทำงาน เหมือนกัน แต่คนดีย่อมไม่ท้อแท้ ทองแท้ไม่แพ้ไฟ และทหารเป็นขวัญใจและที่พึ่งของประชาชนเสมอ
ลองอ่านจากแหล่งเหล่านี้แล้วเปรียบเทียบกัน ข้อคิดที่ได้คือ ใครอาบน้ำคนนั้นก็เปียก ผู้ให้ย่อมได้รับ (อย่างแรกเลยคือปีติสุข)

"ผู้อพยพควรทำอะไรมากกว่านั่ง ๆ นอน ๆได้แล้วนะครับ"


ข้างล่างนี่อ่านแล้วซึ้งใจ...จังเลย
"ทหารขาดรักได้.....แต่ขาดเสบียงไม่ได้(คนปิดทองหลังพระ)ฉบับเต็มๆ"
"ขอบ่นดังๆหน่อยเถอะอึกอัด"


ไม่ได้ออกไปไหนทั้งวัน วันนี้นั่งตรวจข้อสอบเรื่อยๆ ลมพัดแรงเป็นระยะ ๆ

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

น้ำท่วมกับมุมที่มองด้วยความห่วงใย





วันนี้เห็นภาพข่าวถ่ายเขตที่น้ำท่วมไปเรื่อยๆ เห็นขยะลอยมากมาย เกิดความรู้สึกเป็นกังวลแทนมากๆ ก็ได้แต่คิดเงียบๆว่าอะไรที่น่าเป็นห่วง (ส่วนที่กระทบต่อคน)


  • ขยะที่ไม่มีที่ทิ้งที่จะกำจัดอย่างถูกวิธี  ขยะมากมายถูกทิ้งลงน้ำ ถุงพลาสติก กล่องโฟมจำนวนมากมายที่จะเหลือเป็นขยะลอยน้ำ แต่ขวดพลาสติกไม่น่าห่วงเพราะจะมีคนเก็บไปขายได้
  • สารปนเปื้อน สารอันตราย จากแหล่งต่างๆกระจายไปทั่ว (แต่มีมุมมองจากบางฝ่ายว่าน้ำมากเลยเจือจาง ไม่ต้องห่วง?)
  • สิ่งปฎิกูลมากมายที่ถูกทิ้งลงในน้ำ  แพร่เชื้อโรค แพร่โรค
  • คราบน้ำมัน ตัวทำละลายประเภทต่างๆ

ในอนาคตเมื่อน้ำเริ่มนิ่ง สิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อสุขภาพมากทีเดียว
  • กระสอบพลาสติกที่บรรจุทรายจำนวนมหาศาล เมื่อน้ำเริ่มลด ต้องรื้อกระสอบ สิ่งกีดขวางต่างๆออก เพื่อไม่ให้น้ำขัง
  • น้ำที่เน่าขัง เป็นแหล่งของเชื้อโรคต่างๆ ยุง แมลงวัน แมลงหวี่ ฯ กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์และอาจเป็นอันตราย
  • สารเคมี ยาฆ่าแมลง ที่จะถูกนำมาใช้
  • ดินเหนียว ดินทรายจำนวนมากที่ต้องเก็บโกย ไม่ให้อุดตัน กีดขวางการระบายน้ำ ทั้งคูคลองเล็กๆ และในท่อ ต่างๆ
  • กระสอบพลาสติกที่บรรจุทรายจำนวนเป็นล้านถุง ซึ่งจะเริ่มเปื่อย ยุ่ยหากเปียกชื้น เมื่อผ่าน 1- 2 เดือนไปแล้ว และหลังจากนั้นหากทิ้งไว้นานขึ้นก็ยุ่ยเป็นเศษ เป็นฝุ่น
  • ฝุ่นพลาสติกจำนวนมากที่ไม่มีใครคิดถึง เมื่อหายใจเข้าไปย่อมส่งผลต่อสุขภาพ
  • ฝุ่นจากดินหินคลุก ทรายที่กระจายไปทั่ว ส่งผลต่อระบบหายใจ ก็คงต้องล้างถนนครั้งยิ่งใหญ่
  • ซากพืช ซากสัตว์ ที่ค่อยๆเน่าเปื่อยมากมาย


ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือ ความเข้มแข็งของจิตใจที่จะต่อสู้ปัญหาที่จะเผชิญหลังน้ำลด ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องช่วยตัวเองให้มากที่สุด เพราะคงยากที่จะให้ใครหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่จะช่วยได้ทั่วถึงและทันท่วงที วิธีคิดที่ถูกต้อง  ความอดทน การมีสติสัมปชัญญะ จะทำให้ภาวะเครียด ต่างๆค่อยๆผ่อนเบาลง

แต่ช่วงเวลานี้ที่คนกำลังตื่นตระหนก กังวล มากน้อยต่างกัน บางคนว่างๆนั่งๆนอนๆ บางคนคงหางานทำ คนจำนวนมากมาอยู่รวมกัน หากหน่วยงาน องค์กรใดจะจัดกิจกรรมทางจิตวิทยา เสริมธรรมะ เพื่อการสร้างเกราะ เพื่มความเข้มแข็งทางจิตใจให้เขารู้จักเอาไปใช้คิดเมื่อยามทุกข์ หลังจากที่ไปเห็นว่าน้ำท่วมทรัพย์สินเสียหายอย่างไร จะได้คลายเครียดได้

อีกไม่นานทุกอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็จะผ่านพ้นไปด้วยดี รอเวลา ...

เราเคยท่องกลอนบทนี้ไม่รู้ว่าใครเขียน จำได้มาเกินยี่สิบปีแล้ว น่าจะใช้ได้ในสถานการณ์เช่นนี้ว่า

ชีวิตเปรียบเหมือนเรือที่ลอยล่อง  หางเสือต้องถือให้มั่นมิหวั่นไหว
เมื่อพายุโหมกระหน่ำควรทำใจ  ว่าโพยภัยทุกข์มหันต์นั้นธรรมดา

ชีวิตเกิดมาเพื่อต่อสู้ และ
เผชิญกับทุกสิ่งด้วยความเข้มแข็งและมีสัมปชัญญะ 
 ตราบใดที่มีลมหายใจ ก็คงยังมีความหวังเสมอ
เอาใจช่วยทุกคนจริงๆ


วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

My Silent corner (4): My accommodation in London

My accommodation; Stamford Street Apartments



(ต่อ)...ในที่สุด supervisor ก็ชี้บอกว่านี่เป็นหอพักของเรา Stamford Street Apartments (ซึ่งเป็นหอพักของมหาวิทยาลัยที่ต้องจองที่พักล่วงหน้ามาก่อน และเขาจัดให้ที่นี่ เพราะอยู่ไกล้มหาวิทยาลัย) เราก็ถามเลยว่า แล้วมหาวิทยาลัยอยู่ที่ไหน อาจารย์ตอบว่าก็ตรงข้ามตึกที่เห็นนี่ไง surprise !!!! เพราะจินตนาการก่อนมาว่าจะมีสนามหญ้าเขียวขจี ตึกโบราณ แบบมหาวิทยาลัยในไทยที่มีพื้นที่มากมาย  ก็เลยต้องแปลกใจมากๆที่มองเห็นตึกทันสมัยใหญ่ อยู่ริมถนนใหญ่ นี่นะหรือชีวิตที่จะดำเนินต่อไปจากนี้จะอยู่ที่นี่ แต่แปลกใจได้ไม่นานเสียงอาจารย์บอกว่าให้จัดการเรื่องที่พักก่อน ก็เลยเดินเข้าไปพร้อมกระเป๋า อีก 6 ใบยักษ์ สองใบเล็ก (โชคดีที่ได้น้ำหนักเพิ่ม 40 Kg  ไม่งั้นจ่ายค่าน้ำหนักเพิ่มอาน เราชั่งน้ำหนักมาอย่างดี บรรจุของ (กิน) เต็มอัตรา ทุกอย่างที่ชอบ กลัวอด)  คราวนี้ก็ยื่นเอกสารให้เจ้าหน้าที่หอพัก จัดการเรื่องต่างๆมอบ key card แล้วก็บอกทางให้ ที่นี่ทุกอย่างต้องดูแลตัวเอง

ด้านในของหอพักเป็นลานกว้างมาก

ตึกหอพักใหญ่มาก เข้าด้านในก็แปลกใจอีกเพราะเป็นลานตรงกลางกว้างมากชนิดต้องตะโกนดังมากๆจึงอาจได้ยินเสียง แบ่งเป็น4 ช่อง(ด้าน) ต้องใช้ card อีกจึงเข้าได้ หากเราไม่ได้อยู่ Zone ไหนเราก็เข้าไม่ได้ ขนของขึ้นลิฟท์ (ที่เล็ก) ชนิด 4 คนก็แคบแล้ว ขึ้นไปเจอช่องอีก ปีกใครปีกมัน หากเลี้ยวผิดช่องก็เข้าไม่ได้ (ทุกด่านใช้ card)  ช่องละ 10 ห้องพัก ซ้าย ขวา อีกห้องพท.เท่ากับสองห้องเป็นห้องครัวกลางของแต่ละปีก มีประตูปิดเรียบร้อย ประตูหนักมาก ช่องทางเดินเล็กแปลกใจว่าฝรั่งตัวโตๆทำไมช่องเดินเล็กอึดอัดจัง  เปิดประตูเข้าด้านใน feel shock! เพราะห้องแคบจัง เป็นซองยาวๆ ในชีวิตไม่เคยอยู่ในที่แคบแบบนี้มาก่อน อยากจะร้องไห้ นึกดูก็แล้วกันว่ากระเป๋า 8 ใบย่อมเอาเข้าไปไม่ได้ หากเข้าไป ตัวคนก็ไม่รู้จะอยู่ไหน ? นี่เป็นความรู้สึกครั้งแรก เพราะหลังจากนั้นก็ปรับตัวได้ แม้ปรับใจไม่ค่อยได้ 


 ในที่สุดใช้วิธีเอากระเป๋าเข้าไปก่อนเพราะจะกองตรงทางเดินที่แคบมากก็ไม่ได้ ลงมาส่ง supervisor ข้างล่างก่อน ก่อนไป sup ก็บอกว่าพักผ่อนไปก่อน แล้วอีก 4 วันเจอกันที่มหาวิทยาลัยเพราะช่วงนี้หยุดเทศกาลอีสเตอร์ (มิน่าล่ะ ทำไมถนนจึงเงียบว่างนัก) ว่าแล้วก็ขับรถสปอร์ตสีเหลืองจัดออกไป ทิ้งเราและสามี (ไปส่งเพราะกลัวเราหนีกลับ หุ หุ ) จัดการชีวิตกันต่อไป

รูปบนเป็นภายในห้องพัก ประตูขนาด 60 cm เข้าไปก็จะเจอห้องน้ำติดประตูด้านหนึ่งและด้านตรงข้ามเป็นตู้เสื้อผ้าเล็กๆ ถัดมาเป็นโต๊ะติดผนัง  ตู้เย็นใบเล็ก และก็เตียงที่ติดกับผนังห้องน้ำ อ้อ!หลังโต๊ะที่ผนังห้องน้ำติด heater  อยู่เมืองไทยใช้แอร์ ที่นั่นใช้ heater แปลกดี หุ หุ



แผนที่: สีเขียวเข้มเป็นมหาวิทยาลัย สีแดงคือหอพัก Stamford Street Apartments  สีเหลืองคือมหาวิทยาลัย 


รูป: ตึกซีกซ้ายที่ติดกับ cornwall street เป็นกล่องสี่เหลี่ยมเจาะรูตรงกลาง คือ topview ของหอพัก ตึกสีน้ำตาลอ่อนตรงกันข้ามคือส่วนหนึ่งของ King's college และนี่คือที่ๆเราเรียน Waterloo campus


วันนี้ว่าเรื่องหอพัก ดูรูปและที่ตั้ง location ดีมาก กลาง London ไกล้ Waterloo station ไปไหนมาไหนได้ทั่วอังกฤษ คราวหน้าจะเที่ยวรอบๆ King’s college


วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554

15 Oct: น้ำท่วม.. แต่อย่าให้น้ำท่วมใจ



สืบเนื่องจากเมื่อวานได้ยินเรื่องคนชอบสร้างภาพ และคนชอบเรียกร้องความสนใจ ทั้งเพื่อเรียก rating  เพื่อธุรกิจในอนาคตอันไกล้ หรือเพิ่ออะไรก็ตามที่แฝงอยู่ไม่มีใครคิดแทนใครได้หมด  วันนี้ก็เช่นกันญาติผู้อยู่รับรู้ รู้เห็นการกระทำเบื้องหลังที่หลายๆคนในวงการก็เห็นแต่ไม่มีใครอยากวุ่นวายด้วย เพราะน้ำเชี่ยวเอาเรือขวางไม่มีประโยชน์ รอน้ำลดดีกว่า.... วันนี้เลยเขียนเรื่อง

อย่าให้น้ำท่วมใจ ...งานนี้ขออย่ามีฮีโร่เลย
http://meecorner.blogspot.com/2011/10/blog-post_15.html

คุณค่าของคนเราไม่ได้ขึ้นกับสิ่งที่ได้รับ แต่..
ขึ้นกับสิ่งที่ได้ให้แก่คนอื่น



ที่มาภาพ: limparty.com

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554

14 Oct: ปิดเทอมชั่วคราว / ข่าวคนสร้างภาพ



วันนี้มีประชุมมหาวิทยาลัย เราไม่ได้ไป ยังคงลาอยู่ ตั้งแต่สัปดาห์หน้าไม่ต้อง scan นิ้ว แต่ยังมีงานต่อเนื่องกันตลอด และเปิดเทอมวันที่ 25 ตค.นี้

ยังคงตามข่าวน้ำท่วม เมื่อวานเล่าเรื่องสกู๊ปชีวิต เรื่องน้ำท่วมเคล้าน้ำตา หลายเรื่องที่กำลังส่งต่อๆในโลกonline เราก็สงสัยอะไรบางอย่างตะหงิดๆ ว่าบางคนจะดีได้ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ เล่าให้เพื่อนฟังในรถเมื่อวาน วันนี้ภรรยาเพื่อนชวนไปเที่ยวในงาน เลยนั่งรถเขาไป สามีเขาเลยเอ่ยให้ฟังว่าหลังจากเมื่อคืนได้ยินที่เราเล่า วันนี้เลยโทรไปถามข่าวเพื่อนเขาที่เป็นผู้จัดการและรู้จักบุคคลในข่าวเป้นอย่างดี เพราะสถานที่เกิดเรื่องนั้นอยู่ติดกัน ในที่สุดเพื่อนที่กรุงเทพก็บอกว่า สร้างภาพทั้งนั้น ทั้ง-- และ----- เพราะคนหนึ่งนั้นไม่ได้อยู่ที่นั่นหรอก เขายืนยันได้ เพราะเขาอยู่ที่นั่นในเหตุการณ์ และอีกคนก็นั่งเรือมองผ่านสถานที่ๆเขาอยู่และเขาอยู่ตรงนั้นโดยไม่มีการตะโกนถามไถ่อะไร และทหารต้องคอยรอรับพวกนั้นออกมา ทั้งๆที่วันนั้นเป็นคิวที่ทหารต้องมาขนของในสถานที่ของเขา และบ่นเรื่องสร้างภาพหลอกคนกันอีกกว่าครึ่งชั่วโมง เฮ้อ! คนเราก็แปลกมีชื่อเสียงโด่งดัง มีเงิน แต่ยังขาดแคลนอะไรนะ ที่ทำให้เขาต้องสร้างภาพกันขนาดนี้ และฉวยโอกาสในสถานการณ์ที่เหมาะสำหรับพวกเขา แต่บนคราบน้ำตาของคนเดือนร้อนจริงๆ ช่างทำได้ ไม่ละอายจริงๆ เมื่อไหร่คนไทยจะมีวิจารณญาน ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ เสียทีจะได้ไม่ถูกหลอก ตกเป็นเครื่องมือพวกคนเหล่านี้