วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

น้ำท่วม น้ำคำ น้ำใจ


เช้านี้ดูข่าวช่อง 3 มีนักข่าวถามผู้ที่จะอพยพออกจากศูนย์ช่วยเหลือของธรรมศาสตร์ที่เคยช่วยพวกเขาไว้เมื่อหลายวันมาโดยตลอด แต่ตอนนี้ธรรมศาสตร์ถูกน้ำท่วม ถูกตัดไฟ เดือดร้อนเหมือนที่อื่นๆแล้ว สิ่งที่เขาได้มีน้ำใจช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อ การอำนวยความสะดวกต่างๆลดลง การอพยพที่มากขึ้นทำให้แออัดไม่สบายเหมือนก่อน แลความสบายกำลังหมดไปเพราะถูกตัดไฟเพื่อความปลอดภัยเช่นกัน ทุกคนที่เป็นอาสาสมัครช่วยเหลือที่ไปๆมาๆก็เหนื่อยล้า และเดินทางมาลำบากแล้ว

ในศูนย์ช่วยเหลือมีผู้อพยพมาพึ่ง 4000 กว่าคน  นี่คือคำพูดส่วนหนึ่งที่คนอพยพกลุ่มนี้ตอบนักข่าว " อยู่ไม่ได้แล้วตอนนี้ต้องอพยพขึ้นชั้นบน ไปรวมกันกับที่มีอยู่เดิม  เขาปิดแอร์ แอร์ก็ไม่มี ร้อนมาก เด็กจะแก้ผ้านอนอยู่แล้ว เขาร้อน ชัก พัดจนเหนื่อยทำให้รู้สึกหายใจไม่ออก อาหารเพิ่งได้กินมื้อเดียว ร้อนมาก ญาติที่เป็นมะเร็งลำไส้ทรมาณ เขาจะช่วยย้ายไปรักษาที่โคราช ก็ไม่ไปเพราะเขาให้ไปคนเดียว ตอนนี้ลำบากมาก ต้องเดินออกมา ทหารไม่มาส่ง ....." น่าสงสารน้ำเสียงที่ขุ่นเคืองและใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ความเหน็ดเหนื่อย ความกังวลในเรื่องของตัวเอง การที่ตัวเองและญาติเดือดร้อน การที่ตัวเองและญาติไม่ได้รับความสะดวก การที่ญาติและตัวเองยังไม่ได้รับการบริการที่เร่งด่วน ...เราก็ดูด้วยความอึดอัด โชคดีมากที่ผู้สื่อข่าวที่กำลังสัมภาษณ์มีความคิด ไม่ไช่หุ่นยนต์หาข่าว จึงได้ตอบเขาไปทันทีที่เขาพูดว่าว่า "เขาปิดแอร์ แอร์ก็ไม่มี ร้อนมาก" ว่า  ไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยเขาถูกตัด เป็นการเตือนสติเขาได้บ้าง ว่ามหาวิทยาลัยไม่ได้ปิดแอร์ เขาบริการเปิดให้มาโดยตลอด แต่ตอนนี้จำเป็นน้ำท่วมไม่ปิดไฟ ถูกช็อตตายไปก็ถูกตำหนิอีก โดนทั้งขึ้นล่อง


 ....ตัดมาที่ห้องข่าว คุณสรยุทธ์ก็ช่วยแก้ให้ทหารทันทีเช่นกันว่า  ผมขออธิบายที่พูดว่า "ทหารไม่มาส่ง" ว่า "ผมอยู่และเห็นการทำงานของทหารที่นั่น เขาเหนื่อยกันมากในการพยายามทำงานเพื่อช่วยส่วนรวม ทำสะพานหลายจุดเพื่อให้พวกเขาได้เดินข้ามออกมา ทหารมาทำงานตั้งแต่ตี 5 และเร่งทำงานกันทั้งวันทั้งคืน เพื่อทำในสิ่งที่รองรับส่วนรวมที่กำลังเดือดร้อนอย่างเร่งด่วน" เราฟังแล้วโดนใจ เป็นสิ่งที่เราอยากบอกหลายๆคนที่เดือดร้อนเช่นกันว่าตอนนี้ทุกคนต้องพยายามมองอะไรให้ออกไปไกลตัวหน่อย เพราะทุกคนพยายามในสิ่งที่ดีที่สุดที่จะช่วยเหลือกัน แต่ตัวเองต้องช่วยเหลือตัวเองก่อนเท่าที่ทำได้และไม่ต้องกล่าวโทษใคร เพราะการคาดหวังจะรับอย่างเดียวตลอดเวลาจากเหตุการณ์ที่ส่วนรวมมากมายเดือดร้อนให้ทันใจถูกใจทุกคนย่อมเป็นไปไม่ได้ ต้องเข้าใจกัน (กรณีนี้ไม่ขอใช้คำว่า "ให้อภัยกัน" เพราะอาสาสมัคร ทหาร หรือคนที่มาช่วยเหลือ ที่ไม่ได้ช่วยเหลือคนใดคนหนึ่ง กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งนั้นไม่ผิด เพราะเขาก็มีภาระเร่งด่วนที่จะต้องช่วยเรื่องด่วน เรื่องใหญ่ ฉุกเฉินกว่า) หากพอดูแลตัวเองได้ต้องทำ และไม่ควรกล่าวโทษใคร ให้เกิดการเข้าใจผิด หรือบั่นทอนกัน คิดดี คิดให้ถูกก็ลดทุกข์ คนอื่นอีกมากมายที่เดือดร้อนกว่ายังมี

หลังจากนั้นรองอธิการ มธ.คนหนึ่งก็ออกมาพูดตอนหนึ่งถูกใจมากว่า " เราที่นี่เป็นศูนย์ช่วยเหลือ ไม่ไช่ที่กักกัน ดังนั้นตอนนี้ไม่สะดวกแล้ว ใครจะย้ายออกไปก็สามารถไปได้... และตอนนี้อาสาสมัดรของเราก็มีน้อยลงเพราะเหนื่อยล้าแม่ครัวกลับกันหลายคน ทำกันมาหลายวัน  และเดินทางมาลำบากแล้ว ....."

อยากให้ผู้ติดตามข่าว รู้จักแยกแยะระหว่างคำพูดของคนที่ต้องการจะรอรับความช่วยเหลือและไม่ได้ดั่งใจ กับผู้ที่พยายามที่จะเร่งและทำงานช่วยเหลือที่ไม่ได้ช่วยเพียงจุดเดียว เรื่องเดียว ที่ทำไม่ได้ดั่งใจคนรอรับความช่วยเหลือ 

และสิ่งที่เราอึดอัดใจก็มีคนมาช่วยให้ความยุติธรรมกับพวกเขา รั้วของชาติ ด้วยข่าวและภาพนี้

"คำขอบคุณและแรงใจ มอบให้ทหารช่วยน้ำท่วม"


หากดูแล้วเข้าใจพวกเขา ขอบคุณพวกเขา(ทุกฝ่ายที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือ) ที่ทำดีที่สุดแล้วก็อยากให้ช่วยบอกต่อๆกัน การได้สรรเสริญและเผยแพร่ความดี ของคนทำดี  น้ำท่วมบ้าน อย่าให้น้ำท่วมใจ อย่าให้น้ำท่วมปาก ช่วยกันยกย่องคนทำดี อย่าให้มีการบั่นทอนกันด้วยน้ำคำในภาวะวิกฤติเลย ก็เกิดกุศลค่ะ