(ต่อ)...จากการสอบข้อเขียนภาษาอังกฤษของกระทรวงฯและสัมภาษณ์เพื่อคัดเข้ารับทุนผ่านแล้ว เป็นเพียงด่านแรกที่บอกให้รู้ว่าเตรียมหาที่เรียนประเทศตามที่ทุนระบุ โดยต้องศึกษาเกณฑ์กพ.สำหรับมหาวิทยาลัยที่จะเลือกไปเรียน ซึ่งเราตกลงกันว่าจะเลือกมหาวิทยาลัยในยุโรป ในที่สุดก็มาลงตัวที่ประเทศอังกฤษ (ทั้งหมดนี้เป็นการเลือกจากสามี ผู้ใหญ่และอาจารย์ เพราะตัวเองนั้นอะไรก็ได้ กลัวจะต้องไปตปท.จะแย่แล้ว) การ focus เช่นนี้เป็นการดี เพราะจะได้เตรียมสอบภาษาอังกฤษให้แน่นอนไปเลยว่าจะสอบ IELTS หรือTOEFL เพราะหากเลือกไปทางอเมริกาต้องสอบ TOEFL หากเลือกทางยุโรปก็สอบ IELTS แต่เชื่อไหมว่าตอนนั้นเราเองอยู่บ้านนอก เรียนบ้านนอก รู้จักแต่ TOEFL ไม่รู้จัก IELTS งงๆว่าเป็นยังไง เราเงียบไปนานจนคุณปิติกาญจน์ จนท.กพ ที่อยู่ฝ่ายดูแลนร.ทุนโทรมาถามเราว่าไปเรียนภาษาอังกฤษที่ไหนหรือยัง เราก็บอกว่ายัง (แต่ตอนนั้นคิดแบบโง้โง้ ด้วยว่าทำไมต้องเรียน ต้องเรียนด้วยหรือ) ไม่รู้ต้องเตรียมตัวอย่างไร เธอมีน้ำใจบอกแนะให้ไปเรียนที่ British Council ที่แถวสยามสแควร์ และอีกแห่งที่ IDP สีลม สามีเลือกให้เรียนที่นี่เพราะไกล้บ้านกว่า สามีพ่อยก พาไปสมัครเรียน จัดการให้เสร็จสรรพ์ เราเรียนอย่างเดียว ก็มีหลาย course ให้เลือก แต่เลือกเรียนแบบ รู้จักข้อสอบ IELTS 20 ชั่วโมง 3000 กว่าบาทในตอนนั้น ซึ่งนับว่าแพงนะ เรียนอาทิตย์ละ 3 วันๆละ 2 ชั่วโมง เกือบเดือน คนอื่นเลยเลือกเรียนหลักสูตรอื่นด้วยเช่น writing , reading etc. เพราะว่าง แต่เราไม่เอา เพราะเราเพียงแค่อยากรู้ว่าอะไรคือการสอบ IELTS เท่านั้น พอเรียนจบ ก็มีการให้ทดลองสอบดู แฮ่ผลน่าจะไม่ดีนักเพราะไม่จำ คิคิ ตอนเรียนเจอน้องๆในห้องเรียนสนิทกันสามสี่คน คนนึงชื่อตุ๊ก สอนที่ม.ขอนแก่น คนนี้ค่อนข้างสนิทไปไหนๆด้วยกัน เขาสมัครสอบ IELTS สนามจริงตอนช่วงวัน Christmas พอดี นั่นคือเร็วที่สุดที่มีที่กทม.แต่ตุ๊กอยากเลื่อนสอบเพราะเขาทดลองแล้วเขาคิดว่าคงไม่ผ่านในสนามจริง เสียดายเงิน ตอนนั้นค่าสมัครสอบ 3600 บาท (ประมาณ) แต่เราอยากสอบแต่ที่นั่งเต็ม ในที่สุดตุ๊กขอเลื่อนเราลงสอบแทนที่ เสียค่าเลื่อน 500 บาทเราออกให้ตุ๊กในส่วนนี้ ในที่สุดเหลืออีกเกือบเดือนสำหรับเตรียมสอบจริง ซึ่งก็ดีเหลือเวลาน้อยๆ เตรียมน้อยๆไม่เครียดนาน เพราะมากน้อยก็คงได้แค่นั้นล่ะ ในที่สุดวันสอบมาถึงก็เจอพวกน้องๆมาสอบด้วยเชียร์ด้วย ตุ๊กยังอยู่เรียนภาษาต่อที่กทม. เข้าห้องสอบตื่นเต้นนะ จำได้ว่าสวดมนต์ก่อนเลย ...
เรื่องที่บันทึกข้างล่างนี้เป็นเรื่องปาฎิหารย์หรือไม่แล้วแต่วิจารณญาณ อย่าคิดมากและห้ามเลียนแบบเพราะแต่ละคนคงมีสิ่งสะสมมาไม่เหมือนกัน.......
ทำข้อสอบไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงตอนที่เขาให้ฟังเทปสนทนา เป็นช่วงที่เรากลัวมากที่สุด เพราะขนาดพูดช้าๆยังจับใจความไม่ทันเลย นี่ต้องจับใจความที่เขาคุยกัน จำ ลำดับเรื่อง เช่นใครพบใครกี่โมง ใครเลื่อนนัดแล้วสรุปว่าสุดท้ายว่าใครจะเจอใครก่อน อะไรคล้ายๆยังงี้ ตอบสอบแบบนี้ปวดหัวจริงๆ ต้องแม่น และมีสมาธิมาก ขนาดคุยเป็นภาษาไทยยังงงได้เลย ในที่สุดตอนนี้ขอพึ่งบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และที่บารมีพระที่เราเคารพนับถือ ตอนนั้นนึกออกที่พระนเรศวรมหาราช และหลวงพ่อจรัญ (สิงห์บุรี เคยไปกราบท่าน และสนทนากับท่านมาแล้ว) เลย
ตั้งจิตแน่วแน่อธิษฐานตอนนั้นว่าขอให้สอบผ่านในครั้งเดียวนี้ ให้เลือกคำตอบได้ถูกต้อง ดังนั้นเมื่อผ่านไปได้สักสองสามข้อทำไม่รู้เรื่องแล้ว หลังจากนั้นใช้วิธี นึกถีงหลวงพ่อจรัญสลับกับองค์พระนเรศวร เลือกจิ้มแบบเดาหมด นี่เฉพาะในส่วนของการฟัง ตรงอื่นใช้สติปัญญาที่พอมีทำเองอย่างจริงจัง
การสอบตอนนั้นมี writing, gramma& structure, reading, listening, และ conversation แต่ละ part ต้องผ่าน และเฉลี่ยรวมที่ King's college require มาคือ 6.5 และ เฉพาะ writing กำหนด minimum 6.5 อันนี้ตอนนั้นแปลความกันว่า ในแต่ละส่วนต้องผ่านให้ได้เฉลี่ยรวม 6.5 แต่ ไม่ว่าอะไรได้เท่าใด ตอนที่เป็น writing ต้องได้ 6.5....อันนี้ต้องลุ้นเพราะตอนออกมามั่นใจส่วนนี้พอควร เพราะคำถามเป็นการให้อ่านและอธิบายค่าสถิติจากกราฟวงกลมที่ให้มา พวกวิทย์อ่านค่าแบบนี้หมูๆ อีกอันเป็นเรื่องการแสดงความคิดเห็นจากหัวข้อที่กำหนดให้ อีกอันเป็นเรื่องคอมพิวเตอร์ที่จะนำมาใช้สอนแทนคนในอนาคตเห็นด้วยหรือไม่
ในส่วนของ speaking หรือ conversation ก้เป็นเรื่องดวงที่จะเจอคนสอบแบบไหน เราได้ค่อนข้างอาวุโสมากหน่อย ก็ไม่รุ้ว่าดีไหม เขาก็คุยถามทั่วไป เรื่องจังหวัดที่เราอยู่มีอะไรน่าสนใจ เรื่องที่เราตั้งใจไปเรียนเกี่ยวกับอะไร งานที่ทำอยู่ เป็นต้น ก็ประมาณ15-20 นาที ออกมาก็สบายๆ คิดว่าผ่านนะ
สอบเสร็จนัดกลุ่มที่เคยเรียนด้วยกันมาเจอกัน คุยๆกัน กินขนม เสร็จก็ไม่ค่อยมีใครมั่นใจกันนัก แต่เรามั่นใจทุกส่วน ยกเว้น listening นั้น ................กลับบ้าน รอลุ้นผล ไม่นาน ผลผ่านตามที่ต้องการทุกๆประการ ดูแล้วดูอีกไม่เชื่อสายตา เอาให้แน่ใจ ทุกอย่างผ่านตามเกณฑ์ที่ต้องการทั้งหมด สอบครั้งแรกในชีวิต และครั้งเดียว ดีใจสุดๆ เพราะว่าหากให้สอบใหม่อาจไม่ได้ ครั้งนี้ถือเป็นปาฏิหารย์สำหรับเราเพราะเราเตรียมตัวมาน้อย รู้ว่าบางคนที่เรียนด้วยกันเคยสอบมา 2-3 ครั้งทั้งนั้น ได้ตัวนึงไปพลาดอีกเรื่องนึงเป็นต้น แบบเราหากสอบได้ 6.5 ก็จริงแต่ writing ไม่ถึงที่King's require ไว้ ก็คงต้องสอบใหม่ และเราอาจไม่สอบ เพราะไม่ได้มีความพยายามมาก หรืออยากเรียนตปท.มากนัก ทุกด่านที่ผ่าน ดีใจแต่กังวลกลัวลึกๆทุกครั้ง
เรามักจะเล่าให้คนอื่นฟังเสมอว่ามันเป็นปาฏิหารย์ ถึงเวลาและโอกาสที่จะต้องไป ไม่ว่าอะไรก็ฉุดไม่อยู่ รั้งไม่ได้ มันจะผลักไปในเส้นทางที่ต้องไป และไปเจอในสิ่งที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว...............!!!
นอกจากนี้คำอธิษฐานที่เขียนไปในซอง ฝากให้ตุ๊กซึ่งจะไปปฎิบัติธรรมที่วัดของลพ.จรัญไปถวายลพ.ด้วย อันนี้เป็นความมั่นใจในระดับหนึ่งแล้ว เพราะในความตั้งใจที่ได้บอกกล่าวคือจะขอสอบเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากไม่ได้จะไม่สอบใหม่ (ให้ลำบาก) อีกเลย อานิสงส์ผลบุญอีกส่วนหนึ่งที่เรานึกได้ในภายหลังว่ามีส่วนทำให้การสอบทุกๆตอนของเราผ่านโดยสะดวกคือ การที่ที่ครอบครัวเราก๋ง ยาย เป็นผู้ตั้งกองทุนและให้ทุนการศึกษาแก่โรงเรียนประจำจังหวัดและโรงเรียนที่เราเคยเรียน มากกว่า x,xxx,xxx บาท ในแต่ละแห่ง เลยมีส่วนผลักดันให้ลูกหลานได้ไปเรียนต่อตปท.โดยไม่คิดฝัน เพราะด้วยเงินของครอบครัวหากเราอยากจะเรียนก็ส่งให้เรียนได้ (แต่ที่บ้านก็ไม่อยากให้ไปตปท. เพราะเป็นลูก หลานคนเดียว) และก็โชคดีด้วยนิสัยของเราในขณะนั้น หากไปแล้วเจอสภาพที่เราเจอในช่วงแรกของการปรับตัว หากเป็นเงินเองก็กลับมาแล้ว แต่นี่เป็นทุนรัฐบาล เลยมีความละอายใจที่หากกลับมาเพราะเท่ากับไปแย่งโอกาสของอื่นแล้ว ใช้เงินภาษีแผ่นดิน แล้วยังไม่มีความอดทน พยายามอีก หลายครั้งนึกตรงนี้เลยต้องอดทนๆๆๆๆ เรื่องเรียนหนังสือไม่ยากมากนัก เพราะชอบเรียน ที่ยากสุดชีวิตคือเรียนรู้คน และต้องอดทนกับคนหลายชาติ ภาษาที่มาในรูปแปลกๆ แล้วจะเขียนต่อไป
ในที่สุดการเตรียมพร้อมส่งข้อมูลให้มหาวิทยาลัยที่เลือกไว้ก็เสร็จสิ้น ส่งหลักฐานผลการสอบให้กพ.และให้ไปที่มหาวิทยาลัยลอนดอน เพื่อขอเข้าเรียนในสาขาที่ได้ทุนคือ Environmental biotechnology