เมื่อวานเหนื่อยมาก ฟังเด็กเสนอโครงร่างงานวิจัย สอบ ซักถามเขาจนเหนื่อยใจ ไม่รู้ทั้งนั้น อะไรๆก็ไม่รู้เรื่องพื้นฐานที่ตัวเองจะทำก็ไม่รู้ งานไปลอกของพวกมหาบัณฑิต ตัดต่อมั่วมาทำ เลยร่ายยาวสอนพวกเขา พูดซ้ำซาก สอนทุกครั้งพูดทุกครั้งให้มีความซื่อตรง ซื่อสัตย์ ไม่คัดลอกงาน ฯ สุดท้ายก็ลอกงานมาส่ง ใครจะว่าครูไม่สั่งสอนก็ไม่โดนเราแล้ว สอนจนละเหี่ยใจ
กลับเย็นหมดแรงข้าวสวยข้าวต้มไปเลย เลยไม่มีแรงบันทึก นอนอย่างเดียว
วันนี้เด็กนัดให้ไปตรวจงานที่เหลืออีก รับข้อสอบมาตรวจ โบโทรมาคุยด้วย

คืนนี้ระหว่างค้นธรรมะเพื่อเขียนหนังสือ อ่านเจอข้อความนี้ ชอบ ชอบ เลยเอามาใส่ไว้
เมื่อดับ "อัตตา" ได้มากเท่าไร คนก็จะไม่มีความเห็นแก่ตัวจัด เพราะมีสติปัญญา หรือเหตุผลได้มากขึ้น ตามหลักพุทธศาสนา ย่อมจะกล่าวได้ว่า ศีลธรรมก็ดี สัจธรรมที่สูงขึ้นไปก็ดี หรือ โลกุตตรธรรมข้อใดก็ดี ล้วนแต่มีความมุ่งหมายที่จะเข่นฆ่าสิ่งที่เรียกว่า "อัตตา" ให้ดับไป ให้เหลือแต่สติปัญญาควบคุมชีวิตนี้ ให้ดำเนินไปถึงจุดหมายที่แท้จริงที่มนุษย์ควรจะได้ ส่วนจริยธรรมที่มีชื่อไพเราะต่างๆ นานา เช่นความซื่อสัตย์ ความเห็นแก่ผู้อื่น ความรักใคร่เมตตากรุณา การสารภาพความผิด ฯลฯ โดยมากก็เป็นเพียงสักว่าชื่อตามป้ายหรือตามฉลากที่ปิดไว้ตามที่ต่างๆ หรือสมาคมต่างๆ ไม่สามารถจะปราบอธรรมได้ เพราะว่า "อัตตา" ของมนุษย์ในโลกทุกวันนี้ได้หนาแน่นยิ่งขึ้น และรุนแรงถึงกับเดือดพล่านนั่นเอง ฉะนั้นถ้าเราหวังที่จะมีจริยธรรมมาเป็นที่พึ่งของชาวโลกแล้ว จะต้องสนใจในเรื่องความดับไปแห่ง "อัตตา" ให้มากเป็นพิเศษ สมตามที่หลักแห่งพุทธศาสนายืนยันว่า มันเป็นเพียงสิ่งเดียว ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวง
ที่มา: คำบรรยายเรื่อง ตัวกู-ของกู (ฉบับสมบูรณ์) ของท่านพุทธทาส