วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554

30 sep: ไปป่า


วันนี้เข้าป่าอีก ถนนแย่มากกว่าเดิม เพราะมีขุดเพิ่ม โชคดีที่ฝนไม่ตก กลับออกมา 2 ทุ่ม ถึงบ้าน 3 ทุ่มเศษ วันนี้ขับเร็วมาก เพราะเอา Bz คันใหม่ไปด้วย ก๋องขับ ท่านทิมไปกับ pa

วันนี้เตือนเรื่องสุขภาพ  และวันนี้ได้บอกเรื่องจะขอลาออกจากราชการ แค่ด่านแรกก็มีคำคัดค้านไม่เห็นด้วยจากผู้ใหญ่ (ไม่ไช่กำนัน):  2 ท่านซะแล้ว ท่านบอกว่าต้องปรึกษาฟังจากหลายๆเสียงก่อน ตอนนี้ห้ามเราตัดสินใจ (จริงๆตัดสินใจไปแล้ว พูดบอกน้องๆไปแล้วด้วย ว่าให้เตรียมยื่นขออจ.ใหม่ปีหน้า) ถามอีกท่านก็บอกว่า ท่านรู้ว่าเราเบื่อมากแล้ว แต่ก็อยากให้อดทน อย่าไปใส่ใจกับเรื่องต่างๆ เห็นก็ไม่รับรู้กับความไม่เอาไหน การทุจริตทุกรูปแบบที่วงการศึกษาไม่น่าทำ ฯ

 นี่ล่ะ !ใครว่าชีวิตเป็นของเรา จริงๆแล้วชีวิตบางครั้งก็จำเป็นต้องคล้อยตามความปรารถนาดีของผู้ที่รักและหวังดีต่อเรา แต่ตอนนี้เรายังไม่เปลี่ยนใจ แต่การถูกเบรคก่อให้เกิดความไม่แน่นอนขึ้นทันที เพราะแอบคิด;วางแผนไว้แล้วว่าลาออกแล้วจะใช้ชีวิตที่อิสระจากความรับผิดชอบต่องานได้ มาเป็นรับผิดชอบต่อสิ่งที่อยากจะทำได้เต็มเวลา ตอนนี้ก็ทำอยู่แต่ไม่เต็มที่นัก

วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

29 sep: ส่งข้อสอบ


เช้าไป print รายชื่อสำหรับบรรจุซองข้อสอบ แปลกดีรายชื่อนักศึกษาไม่มีการ update การ drop เลยยังมีชื่อนักศึกษาครบ งงๆว่าแล้วเด็ก drop หรือเปล่า กี่คน เพราะเราสั่ง copy ข้อสอบเท่าที่รู้ว่าเหลือเด็กเรียนจริงเท่าใดใน class หรือเด็กไม่ได้ drop ?? เลยโทรถามทะเบียน ทำให้รู้ว่าใบเซ็นต์ชื่อในห้องสอบ ใช้อันเดียวกับที่เด็กลงทะเบียน แต่ถ้าอจ.อยากรู้ว่าเด็ก drop กี่คน ต้องเข้าไปตรวจสอบที่ใบเกรดเด็กแทน  ก็ OK เป็นการทำงานของเขา เพราะคราวก่อนวิชาสัมมนาเด็ก แก้ I อาจารย์ที่สอนแก้เกรดส่งไป ปรากฏว่าเด็กตรวจสอบเกรดที่จนท. ฝ่ายทะเบียนกรอก เกิดความสงสัยว่าทำไมเขาและเพื่อนได้เกรดที่ไม่น่าเป็นไปได้ คนที่ได้เกรด D มาแอบถามอจ.ผู้สอน ปรากฎว่าอจ.เอาเกรดที่กรอกด้วยมือส่งให้เด็กดู เกรดตรงกันข้าม ฝ่ายทะเบียนกรอกเกรดสลับกัน D  เป็น C, C เป็น D นี่เป็นความชุ่ยจริงๆ ยังมีอีกหลายเรื่องแม้กระทั่งเข้าไปปรับแก้ชื่อเด็กให้ตก ผ่าน โชคดีที่เด็กไม่ฟ้อง และโชคดีที่อจ.ที่ปรึกษาสงสัยและมาถามเรา เพราะเด็กมั่นใจว่าตัวเองไม่ retire แต่ไม่มีชื่อเรียนต่อ จนท.บอกว่า retire แล้วสุดท้ายจนท.ผิด เลยเอาชื่อใส่เข้าไปเองได้เลย เป็นระบบที่ชุ่ยจริงๆของที่นี่ ยังมีอีกหลายเรื่อง เลยสงสัยว่าที่จบๆไปจบจริงบ้างหรือเปล่า ที่ retire ด้วยความผิดพลาดของจนท.มีเท่าไหร่ อนาคตของคนเลยทีเดียว กรรมจริงๆ นี่คือหน่วยงานที่ได้รางวัลดีเด่นของที่นี่ ท่ามกลางความงุนงง และคำถามว่าจริงๆแล้วอะไรที่ดีเด่น ??? สงสัย top from the bottom หุ หุ

ส่งข้อสอบเสร็จทุกครั้งรู้สึกเลยว่าจบไปอีกเทอม (ครึ่งปี) หนึ่งแล้ว เร็วจริงๆ

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

28 sep: "เสียชาติเกิด"


เช้านี้ตั้งใจไปถึงมหาวิทยาลัยแต่เช้าก่อน 8.00  ไปตรวจงานของนศ.ก่อน ปรากฎว่าไปถึงลืมคอมฯเลยต้องขับรถอ้อมโลกกลับมาเอากว่าจะกลับเข้ามหา'ลัยอีกทีก็ 08.40 แล้ว รีบตรวจอ่านแล้ว ส่งคืน  ส่งข้อสอบไป process  เที่ยงไปรับ link ที่สนามบิน วันนี้คนขับเราไปทุ่งสงตั้งแต่เช้าเลยต้องไปรับเอง เอาชาบูไปนั่งรถเล่นด้วย กะว่าจะส่งไปตัดขน แต่ที่ร้านคิวยาว เลยค่อยพาไปวันอื่น

ช่วงนี้มีหลายเรื่องเกิดขึ้นในโลก ส่วนมากเป็นน้ำท่วม  บ้านพัง พายุ รถไฟจีนชนกัน เรือล่ม แต่ละข่าว ตาย หรือไม่ก็เป็นเรื่องทุกข์โศกของหลายๆครอบครัวทั้งสิ้น ไม่เกิดกับตัวเองก็ไม่เข้าใจความรู้สึกจริงๆของเขาหรอก แต่ข่าวหนึ่งที่เกิดทุกครั้งแล้วจะเศร้าจนไม่รู้จะช่วยอย่างไร คือข่าวทหารถูกระเบิด ถูกยิง บาดเจ็บ ตาย เขาทำหน้าที่เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ ปกป้องแผ่นดิน ในขณะที่หลายๆส่วนสนุกสนาน อยู่สบาย แก่งแย่งตำแหน่งอำนาจ  คอรัปชั่นทุกวิถีทางที่ทำได้ บั่นทอนทำร้ายชาติ ทางตรงและทางอ้อม ก็อ้างทำเพื่อชาติเหมือนกัน มันช่างสวนเส้นทางกันจริงๆ  ระหว่างชีวิตที่เกิดมามีคุณค่าตอบแทนแผ่นดิน กะชีวิตที่เกิดมาสร้างอกุศลกรรม อกตัญญูแผ่นดินเกิด แบบที่คนสมัยก่อนว่า  "เสียชาติเกิด" จริงๆ

27 sep:

วันนี้วันส่งตายาย  ออกข้อสอบ

เย็นไปร่วมเป็นเจ้าภาพงานศพผอ.โกวิท นวลขาว ออกไปถวายจตุปัจจัยไทยธรรม ให้พระแสดงธรรม วันนี้พระนักเทศน์รุ่น 4 หลายสิบคนมาร่วมงาน พระเทศน์ดีมาก

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

26 sep: ข่าวน้ำท่วม



เดือนนี้มีแต่ข่าวน้ำท่วมทุกวัน ไม่มีการเบาลดลงเลย ขนาดดูยังเครียดแทนเลย  เที่ยงวันนี้ได้ดูข่าวชาวบ้านหลายสิบคน มาช่วยบรรจุทรายใส่กระสอบทำเป็นคันดินสูงเพื่อกันไม่ให้น้ำทะลักเข้าผืนนาสุดท้ายที่เหลือของชาวนาคนหนึ่ง ซึ่งหากน้ำทะลักเข้าไปข้าวูลค่าแสนกว่าบาท และค่าเช่านาไร่ละ 1,600 บาทของคนๆนั้นจะสูญเสียไปหมด ไม่เหลืออะไร เห็นและฟังแล้วเศร้ามาก ทรัพย์สิน หยาดเหงื่อที่ลงไปหลายเดือน ไม่ถึงสองแสน แต่พวกเขาพยายามสุดชีวิตที่จะช่วยกันรักษาไว้ น้ำคงท่วมต่อเนื่องเรื่อยๆ และตอนนี้พายุอีกสองลูกจ่อจะส่งผลกระทบในอีกสองสามวันทางภาคอีสาน เหนืออีก

คิดแล้วเงินจำนวนนั้นมันเป็นค่าอาหารมื้อเดียวของผู้มีเงินบางคนเท่านั้นเอง และก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของกำไรเพียงวันเดียวของบางกิจการ ก็อยากให้พวกเขาเหล่านั้นมีน้ำใจในการยื่นมือ มีส่วนร่วมเข้าช่วยผู้ประสบภัย และรีบส่งเงิน หรือแปลงเงินเป็นความช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้นหลังน้ำลด ให้มีกำลังใจสู้ชีวิต มีกำลังทุนในการต่อชีวิต อย่าแสวงหาผลประโยชน์แฝง หรือผลประโยชน์ทางอ้อม ทางตรงอะไรกันเลย  หน่วยงาน องค์กรบางแห่ง ก็ทำดีเป็นแหล่งรับบริจาคก็ดีทำต่อไปจนจบ เห็นใครที่ลำบากจริงๆเฉพาะหน้าก็ช่วยกันเถอะอย่าต้องรอ สื่อไปถ่ายทำก่อนเลยนะ อย่าต้องรอลงเรือพร้อมนายกจึงจะไป  ไปได้ก็ไปช่วยกันก่อน เอาเสบียงที่กินได้เลย ยา ติดไม้ติดมือไปก่อน  เราก็ได้แต่บ่นอยู่ตรงนี้ แต่หากน้ำท่วมภาคใต้เราและคณะก็จะออกไปช่วยเต็มที่เหมือนที่ผ่านมาเช่นกัน อิ่มใจเมื่อได้ช่วยคนที่เดือดร้อนจริงๆให้บรรเทาลงบ้าง อย่างน้อยให้เขามีกำลังใจว่าไม่มีใครทอดทิ้งกัน

แม้เดือดร้อนกันขนาดนี้แล้วพวกขโมยก็ยังไม่เว้น นั่งเรือ ลอยคอมาขโมยของชาวบ้านได้อีก ขโมยกระทั่งเรือที่ชาวบ้านผูกไว้ ก็ไม่รู้จะพูดยังไง ไม่มีสื่อใดที่ออกมาขอร้องกัน รายงานข่าวก็แค่รายงานกันไป สงสัยเหมือนกันว่าขโมยคงไม่ดู TV

วันนี้ออกข้อสอบเสร็จไปหนึ่งวิชา
ข้อคิดจากภ.เกาหลี วันนี้  "แม้ว่าโลกนี้จะไม่ยุติธรรม แต่เราคงไม่ไร้มโนธรรมในการดำเนินชีวิตต่อไป"

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2554

My Silent corner (2): จากไทยสู่ลอนดอน



เรื่องราวของบันทึกที่จะเขียนต่อไปนี้ มันจะเริ่มต้นที่ประเทศอังกฤษ ในมหาวิทยาลัยลอนดอน ณ ชั้น 3 ห้อง lab 3.123 ในโซนที่เป็นกลุ่ม life science และทุกที่ที่ใช้ชีวิต....ที่หอพักหรือบ้านพัก (ตามแต่ที่อยู่ในแต่ละปี)  บนรถเมล์ รถไฟ ตามถนนทางเดิน  และขอแทนตัวเองว่า มีมี่-mie"  ตามที่ถูกเรียกเมื่ออยู่ที่นั่น
.....ชื่อบุคคลในเรื่องนี้ถูกสมมุติขึ้น หากแต่เรื่องและสถานที่ เป็นจริง

เดินทางลัดฟ้าจากประเทศไทยไปลอนดอนด้วยกระเป๋าใบใหญ่มากจนถึงขนาดกลางเล็กรวมทั้งหมด 6 ใบ มาย้อนดูตอนนี้แล้วมันป็นภาพของคนบ้านนอกเข้ากรุงจริงๆ หรือไม่ก็บ้าหอบฟาง ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องขนไปมากขนาดนั้น ตอนนั้นนึกภาพไม่ออก ไม่รู้จะสอบถามใครจริงๆ ว่าที่ๆจะไปมันเป็นยังไง เศร้า..กลัว คล้ายๆไปตายเอาดาบหน้า แต่...มันก็ผ่านไปแล้ว จนบัดนี้ยังคงไม่แน่ใจว่าคนอื่นๆที่กำลังจะไปเรียนต่อต่างประเทศจะเศร้าและทุกข์ขนาดนี้กันไหม หรือมีมั้ยที่ไปลอนดอนด้วยความเศร้า !!! อันที่จริงมันไม่ไช่เศร้าอย่างเดียวนะมันเป็นความรู้สึกอื่นปะปนอยู่ซึ่งยากที่จะบอก แต่ก็ได้ให้คำจำกัดความรู้สึกนั้นว่ามัน โหวงๆเศร้าและโหวงๆเพราะไม่เคยจากครอบครัวไปเป็นเดี่ยวไมโครโฟนที่ไหนมาก่อน เศร้าเพราะจากคนที่รักเราและเรารัก โหวงๆเพราะต่อแต่นี้ต้องรับผิดชอบชีวิตคนเดียว เดินคนเดียว กินคนเดียว แล้วแต่จะจินตนาการ ...เฮ้อ!


 11 ชั่วโมงบนเครื่องการบินไทย ในที่สุดก็มาถึงสนามบินฮีทโธรว์ (London Heathrow Airport)  จนได้ รอคิวตรวจพาสปอร์ตยาวพอสมควร แต่อะไรไม่เท่าความรู้สึกที่ว่าต่อแต่นี้ไม่ได้พูดภาษาไทยแล้ว ความรู้สึกมันต่างจากการไปเที่ยวต่างประเทศ ยืนรอใจเต้นตุ๊บๆ เตรียมเปลี่ยนภาษาในที่สุดคำพูดแรกก็ออกมา hi ! ก็เริ่มด้วยความไม่มั่นใจว่าแล้วจะฟังที่เขาถามได้มากไหม และเราตอบเขาเขาจะรู้เรื่องไหมด้วยสำเนียงที่ไม่ไช่อังกฤษแท้ของเรา แบบว่าคนพูดเสียงออกทองแดงยังงั้นล่ะ แต่คราวนี้มันคงเป็นทองแดงฝรั่ง แต่ก็ต้องสื่อสารล่ะ เป็นไงเป็นกัน ใจสู้ซะอย่าง เขาก็ขอเอกสารการรับรองการเข้าเรียนของมหาวิทยาลัย ถามว่าพักที่ไหน

..ก็ไม่รู้และจำไม่ได้ว่าตรงจุดไหนที่ถามเราแล้วที่เมื่อตอบแล้ว ทำให้เขาต้องบอกให้เราไปนั่งรอสัมภาษณ์ที่ห้องตรวจก่อน รู้แต่ว่าเขาถามเรื่องการฉีดวัคซีนอะไรสักอย่าง ตอนนั้นที่นั่นไข้หวัดอะไรสักอย่างระบาด (น่าจะไม่ไช่หวัดนก) แน่นอนที่เราไม่ได้ถูกฉีดยาอะไรก่อนมาเลยตอบได้โดยไม่ต้องพยายามแปลอะไรนักว่า no ! สักครู่ก็มีเจ้าหน้าที่คล้ายๆพยาบาลมาสอบถามการฉีดวัคซีน ขอฟิลม์เอกซ์เรย์ดู ดีที่ก่อนจะมาต้องไปตรวจสุขภาพที่รพ.ศิริราชก่อน เลยส่งเอกสารทั้งหมดให้ดู และก็โชคดีมากที่รอบคอบเก็บเอกสารกับตัว ถ้าอยู่ในกระเป๋าที่โหลดมาก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นยังไง สอบถามสุขภาพ ดูฟิลม์ จำได้ว่ามีความมั่นใจตัวเองที่ติดตัวไปคือความเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลทำให้นึกไว้ว่าเออน่า ตอบไปเถอะ เขาไม่ส่งเรากลับหรอก !
แต่ก็สงสัยนะว่าแล้วคนอื่นที่มาๆกันน่ะ ฉีดยากันหมดแล้วรึ ?? มันก็ไม่น่าไช่ เสียเวลาตรงนี้เกือบครึ่งชั่วโมง

ในที่สุดสัมภารก 6 ใบใหญ่ๆ+เป้ส่วนตัวอีก 1 ใบ ผ่านด่านตรวจได้ฉลุย ถ้าถูกค้นตอนนี้นึกไม่ออกว่ามาม่า ขนม ข้าวสาร อาหารแห้งมากมาย (เกินกว่าใครจะจินตนาการได้ หุ หุ) จะถูกกำจัดหรือเปล่า ออกมาจากด่านตรวจก็ต้องมองหา supervisor ที่บอกว่าจะมารับ เป็นนัดบอดเพราะเห็นรูปอาจารย์ทาง internet ในที่สุดก็เห็นชายร่างสูงมากเดินตรงมาที่เราแล้วก็ถามว่า Are you…mie?  ดีใจจัง !! yes I’m เย้ !!!

25 sep: อย่าประมาท


ออกข้อสอบทั้งวัน สลับกับคุยกะสี่ตัวยุ่งที่จะเวียนเข้ามานอนข้างๆโต๊ะทำงาน เที่ยงสั่ง pizza มาทาน สามีไม่อยู่นานๆที ทาน 2 ชิ้นเล็กๆ วันนี้ผัด spinach น้ำมันหอย ผัก spinach ที่นี่แปลกมากต่างจากที่เคยเห็นเคยทานเพราะใบมันใหญ่มาก เย็นไปทำวัตรเย็นที่วัดตามปกติ วันนี้คนมาน้อย สงสัยกลัวฝนตก วันนี้โชคดีมีคุณประมวลมาจากกทม.มาช่วยนำสวดคนละครึ่งกะขาว เพราะคนนำประจำไม่มาวันนี้ นั่งสมาธิอีก 25 นาที สนทนาธรรม แผ่เมตตา กรวดน้ำ ลาพระพุทธเสร็จกลับ ขาวช่วยขับรถให้ เรากลับกะกิ่ง

วันนี้พระท่านพูดเตือนสติเรื่อง การหาเวลามาปฎิบัติภาวนาว่า คนเราทำงานมาตลอดตั้งแต่เช่าจนเย็น บางคนค่ำ เพื่อหาเลี้ยงชีวิต เลี้ยงปากท้อง ก็ควรมีวันหยุดพักผ่อนซึ่งก็เป็นวันอาทิตย์ และหาเวลาว่างแค่  2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อมาวัดสวดมนต์ ปฎิบัติภาวนา สะสมไว้เป็นเสบียง เป็นทุนในภพต่อไปๆ ไม่ประมาทในชีวิตเพราะเราไม่รู้ว่าเมื่อไรที่เราจะตาย  สาธุ

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

24 sep: อะไรๆ ก็เกาหลี


เช้านี้ link ไปกทม. ร่วมงานวิทยานิพนธ์ดีเด่นที่มจร. วันนี้เราก็เขียนหนังสือ แล้วก็ดู series เกาหลี (ฟังเสียงมากกว่า)  เช้าเรื่อง เย็นอีกเรื่อง (ทงฮี) เคยดูเรื่องเดียวคือ แดจังกึม หลังจากนั้นก็ไม่เคยดูอะไรอีกหลายๆเรื่อง ของเกาหลี แต่หลายครั้งมานี่ที่ดูเรื่องบัณฑิตใสหัวใจว้าวุ่น ตอนแรกนึกว่าเป็นเรื่องไร้สาระแบบหนังวัยรุ่นทั่วไป แต่ปรากฎว่า ทุกๆตอนจะมีคำพูดที่เป็นทั้งคำคม คำสอนแฝงอยู่ตลอดเวลา ดูแล้วได้ข้อคิดและตัวอย่าง แบบอย่างที่ดีๆสอดแทรกแบบ soft approach ตลอด เลยติดตาม แล้วทำให้สะท้อนถึงคุณภาพที่แตกต่างจริงๆ ของไทยมีแต่ที่หาสาระไม่ค่อยได้ นอกจากไม่มีคำสอนแล้วยังมีแบบอย่างที่แย่ๆ ตบตี ต่อย แย่งเพศตรงข้าม หรือไม่ก็กิริยากระฟัดกระเฟียด อิจฉา แย่งมรดก รังแกคนใช้ จนเป็นรูปแบบที่มีในละครสั้น ยาวกันแทบทุกเรื่อง เรื่องแบบนี้ของเกาหลีก็คงมีเช่นกัน แต่ขณะเดียวกันที่เขาส่งมาขายให้เราดู ก็ยังมีที่ดีๆมีคุณภาพเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าเป็นคุณภาพของผู้กำกับของประเทศเขา ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและเยาวชน มากกว่าของไทยเราหรืออย่างไร ? หรือเป็นคุณภาพของประชาชนประเทศเขา ที่นิยมดูภาพยนต์ที่มีคุณภาพ ? จึงไม่แปลกใจว่าทำไมตอนนี้อะไรๆ ก็เกาหลี  แอบหวังว่าวันหนึ่งอะไรๆก็ Thailand บ้าง

บัณฑิตต้องยึดมั่นในคุณธรรม ไม่ละทิ้งความเมตตาธรรม

ตำแหน่งสำคัญกว่าการละทิ้งตัวตนของตนเอง ทำให้ละทิ้งศักดิ์ศรีไปได้เลยหรือ ??

สารพัดส้วม (ต่อ)




วันนี้เอา"ส้วมอวตาร"มาลงไว้ ในสวนนี้มีบริเวณหนึ่งที่บอกว่าทำไมเขาจึงพยายามทำสารพัดส้วมขึ้น เพราะมันเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันแต่ใครๆมักจะมีความรู้สึกไม่สนิทใจกับคำว่าส้วม คงรู้สึกกันว่าสกปรก ที่นี่เลยทำส้วมแปลกๆให้คนมีทัศนคติ ที่ดีกับส้วม ประมาณนั้น



รูปทั้งหมดนี่เป็นเส้นทางเดินต่อเข้าไปยังส้วมอวตาร แต่ไม่ได้เข้าส้วมนี้เพราะ เมื่อเดินออกไปเห็นส้วม ก็ได้กลิ่นส้วมลอยมา เลยรีบหลบ ชิดซ้ายไปเจอเข้ากะส้วมใต้พิภพพอดี

สรุปว่าส้วมก็ยังเป็นส้วมอยู่ดี ถ้าไม่ดูแลให้ดียังไงก็มีกลิ่นออกมาจนได้ เหมือนคนเรานี่ล่ะ เกิดมาตระกูลดี ฐานะ การศึกษา ดีหมด แต่ไม่ประพฤติตัวให้ดี ไม่ขัดเกลาจิตใจให้มีคุณธรรม เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ทำหน้าที่โดยสุจริต  ก็เหมือนส้วมดี ที่มีกลิ่นยังงั้นล่ะ ! หุ หุ

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

23 sep: ไปวัดธาราวดี - ฟังดนตรีกบ

เช้าไปวัดธาราวดี กับสามี และพระอาจารย์ไปเป็นประธานในงานฉลองโบสถ์ใหม่ (สร้างบนที่โบสถ์เก่าที่ทรุดโทรม)  ตัดลูกนิมิตร มีงานฉลอง 10 วันไปกราบพ่อท่านจบ (หมอกระดูก) ที่มนฑป ท่านดับไปประมาณ 5 ปีแล้ว แต่บารมีและความเมตตาของท่านยังอยู่ในใจของพุทธศาสนิกชนทั้งไกล้และไกล เราไม่เคยได้พบหรือรู้จักท่านมาก่อนแต่ฟังจากหลายๆด้านมา ท่านถ่ายทอดความรู้ด้านการรักษากระดูกให้ลูกศิษย์ไว้รักษาคนต่อ  วันนี้เจ้าอาวาสได้นำหลวงพ่อลาก พระพุทธรูปโบราณอายุประมาณ 294 ปี ออกมาให้กราบไหว้ด้วย  ศักดิ์สิทธิ์มาก (ต้องคุยกับพระในวัดหรือเจ้าอาวาสเอง) ไม่ลองไม่รู้ แต่เราชอบทดลอง ไม่ได้ลองดี แต่ชอบพิสูจน์ วันนี้เลยต้องไปทำตามที่เคยบอกท่านไว้ (ครั้งนี้ไปครั้งที่2) ครั้งแรกที่เห็นรู้สึกปีติบอกไม่ถูกแต่ชอบท่านมากจริงๆ มีเวลาจะเอารูปมาลงเพิ่มไว้ในนี้

เที่ยงกลับ โทรสั่งอาหารที่ร้านกินขะหนมไว้ เลยแวะไปรับ ทานเที่ยง (เกือบบ่าย) ในรถ ฝนตกเป็นช่วงๆ เย็นนี้ฝนตกค่อนข้างหนัก น้ำท่วมรูกบ คางคก อึ่งอ่าง คืนนี้เลยได้ฟังซิมโฟนีสารพัดประสานเสียง ไพเราะแบบระนาดดนตรีกบ-ปาดไปเลย ชอบมากกกกกกๆๆๆ หาซื้อเทปเสียงดนตรีนักร้องแบบนี้ที่ไหนก็ไม่มี :) นี่เป็นอานิสงค์ที่มีอ่างบัว อ่างอะเมซอน และอีกหลายอ่างไว้ให้กบ เขียด ปาด ฯ วางไข่ ฟักเป็นตัว และก็มีชีวิตรอดมากมาย ไว้บรรเลงเพลงเวลาฝนตกมากๆ

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

สารพัดส้วม

สารพัดส้วมที่สวนนายดำ

 อ่านว่า  toilet จ๊ะ หุ หุ



 แผนที่ สวนนายดำ

แวะที่สวนนายดำทุกครั้งต้องไปดูทัศนียภาพที่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น และที่เด่นมากทำให้เป็นที่รู้จักนอกจากส้มโชกุน (ที่เราไม่ชอบทานเลย) แล้วคือส้วม เขาได้รับรางวัล "สุดยอดส้วมแห่งปี" แวะไปดูจะมีสารพัดส้วม ที่เคยมีก็คือ"ส้วมเบ่อเร่อ"  "ส้วมคุณทองก้อน"  "ส้วมรู"  "ส้วมทาร์ซาน"   อันนี้ล่ะที่โดดเด่น ต้องมาลองเอง แต่ตอนนี้มีคู่แข่งเพราะไปคราวนี้มีส้วมสร้างเสร็จใหม่ๆเกิดขึ้น เช่น  "ส้วมขี้หด ตดหาย" "ส้วมลอยฟ้า"  "ส้วมใต้พิภพ" ที่โดดเด่นคราวนี้ต้องยกให้ "ส้วมอวตาร" ก็เดินชมทุกส้วมที่กล่าวมาเก็บภาพครบเดินเข้าส้วมโน้นออกส้วมนี้ จนเมาส้วมไปเลย วันนี้เอารูปส้วมใต้ภิภพ และบรรยากาศโดยรอบส้วมนี้มาโชว์ก่อน




  ทางเข้าส้วม แต่ทางออกต้องออกข้างล่าง one way จ๊ะ
รูปเต็มของส้วมใต้พิภพ
ด้านในของส้วม ต้องมุดเดินลงกระไดลงมาใต้พิภพแบบชื่อจริงๆ

มองวิวจากในส้วมผ่านช่องออกมา
ทางเดินเป็นสะพานไม้สูงแขวนเดินแก่วงๆเร้าใจดีเชื่อมต่อไปยังส้วมลอยฟ้า

22 sep:

วันนี้เริ่มออกข้อสอบเคมีสิ่งแวดล้อม พรุ่งนี้คงเสร็จ  ตรวจรายงานนศ.

เย็นดูรายการช่องดาวเทียมที่สัมภาษณ์ผู้หญิงไทยที่หนีออกมาจากขบวนการค้ามนุษย์ ฟังสิ่งที่เธอเผชิญ และเพื่อนเธอที่ไม่รอด แล้วก็เศร้าอีกตามเคย นึกนะว่า ร.5 ทรงเลิกทาสให้คนไทยเป็นไทแก่ตัว มาถึงยุคนี้คนไทยด้วยกันเองที่กำลังเอาคนไทยไปหลอกขายให้ชาติอื่นไป ถูกบังคับทารุณแบบอนาจใจ คนที่ทำได้จิตใจต้องกระด้างมาก ไม่รู้จะเปรียบกับอะไร เพราะไม่เคยเป็นศัตรูกัน ไม่รู้จักกันแต่ประทุษร้ายพรากชีวิตเขาไปจากพ่อ แม่ พี่ น้องได้ ใจร้ายจริงๆ


อยากให้คนไทย รักและเอื้ออาทรต่อกันเหมือนคนยุคเก่าก่อน คงได้แต่หวัง :(

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

21 sep: ปิด course

วันนี้ปิด course เคมีสิ่งแวดล้อม พิษวิทยาเหลือสรุปงานอีกครั้ง ผ่านไปอีกแล้วหนึ่งเทอม เร็วดีจัง บ่ายฝนตกหนักแต่ตกไม่นานนัก เย็นกลับบ้านแวะรับอุ้ยเข้าเมืองไปทำแผลให้พระอาจารย์ ปรากฎว่าพระอาจารย์กำลังรีบจะออกไปรดน้ำศพ ผอ.โกวิท นวลขาว เพิ่งเสียชีวิตเมื่อเย็นนี้เอง พระอาจารย์บอกว่าตั้งใจจะไปเยี่ยมที่รพ.เย็นนี้อีก เคยไปเยี่ยมมา 3 ครั้ง เราไป 2 ครั้ง เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วนี่เอง ตอนไปครั้งแรกผอ.ยังดีๆมีอาการอ่อนเพลีย และก็ขอให้พระอาจารย์ท่านช่วยสวดมนต์บทโพชงค์ให้ฟัง แต่ตอนที่เราไปหลังสุดนอนหลับเลยไม่แน่ใจแต่มีหลายอย่างที่เห็นสภาพในห้องผู้ป่วยแล้วไม่สบายใจ แต่เราไม่ไช่ญาติ และลูกชายผอ.เป็นหมอ (กระดูก) เราเคยสอนทั้งสองคน  เราก็เลยไม่อยากแนะนำอะไร นอกจากเกริ่นถามบางอย่างแต่คิดว่าภรรยาผอ.เขาคงไม่ฉุกคิด แต่ก็ให้หนังสือที่เคยทำแจกเกี่ยวกับอาหารที่ปรุงให้ผู้ป่วยมะเร็งทาน และหายมาแล้วของคุณหมอสมชายที่เคยใช้รักษาตัวเองซึ่งป่วยในระยะสุดท้ายด้วย แต่ทั้งนี้มันก็เป็นเรื่อง faith นะ และชะตากำหนดแล้ว คิดแล้วใจหาย เย็นนี้เลยคุยกะอุ้ยว่า ชีวิตกับความตายอยู่ไกล้กันนิดเดียวเอง เพิ่งเห็นกันเมื่อไม่กั่วัน ตอนนี้ก็ไปเสียแล้ว เฮ้อ!! นี่ล่ะชีวิตต้องไม่ประมาท รีบทำความดี สร้างกุศล สะสมความดี จะได้ไม่เสียดาย เสียใจ ในช่วงวาระสุดท้ายว่าเกิดมาทั้งที ยังไม่ได้ตอบแทนพระคุณใคร หรือสร้างสิ่งดีๆให้สังคมโลก ให้คุ้มกับที่ได้เกิดมาเลย

วันนี้อากาศเย็นชื้นฝนตกเกือบทั้งวัน เหนื่อยๆ ทุกครั้งพอหมดวันพุธ ก็หมดแรงเพราะสอนเช้าถึงเย็นทั้งวัน ตารางสอบออกแล้วคุมสอบกับอุไรรัตน์ เหมือนเคยที่ต้องคุมสอบเต็มอัตรา ไม่ใช้เส้นสายหรือบารมี ก็ต้องคุมสอบเต็ม หากมีเส้นสายคนของใครก็เหลือ 2-3 วัน หรือไม่ก็วันละครึ่งวัน ไม่เป็นไร ชินแล้ว การคุมสอบเป็นอะไรที่ใช้ฝึกตัวเองให้นั่งนิ่งๆ จิตอยู่กับที่ได้ง่ายดี

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

20 sep:

วันนี้เตรียมสอนพิษวิทยา และเคมีสิ่งแวดล้อม สอนพรุ่งนี้ทั้งวัน

ข่าวน้ำท่วมต่อเนื่องไม่หยุดเลย ข่าวทหารชายแดนถูกลอบทำร้าย ข่าวจับยาเสพติดที่ไม่เคยหมดไป ข่าวบ้านเมืองที่ไม่นิ่ง
ช่วงนี้ไม่ว่าจะดู หรือฟังข่าวอะไร ต้องพยายามควบคุมอารมณ์ ไม่ให้แก่วงมาก แล้วก็คิดถึงเพลงๆหนึ่งที่มีข้อความเกริ่นว่า

กงกรรมกงเกวียน วงเวียนแห่งกรรม ดีชั่ว ตัวเราทำ
 เป็นกฎแห่งกรรมของปุถุชน




My Silent corner (1): เกริ่นไว้ก่อน


เชื่อว่าทุกๆคนมีเรื่องราวที่ประสบผ่านมามากมายในแต่ละช่วงชีวิต  บางเรื่องอยากจำ บางเรื่องอยากลืม และบางเรื่องอยากให้คนอื่นรับรู้ แต่บางเรื่องอยากเก็บไว้คนเดียว ดิฉันก็เช่นเดียวกัน มีเรื่องที่เก็บในความทรงจำ หลายเรื่องราวบันทึกไว้ใน diary บางเรื่องต้องใช้เวลาและอารมณ์ ในการเขียน และแน่นอนเรื่องที่จะเขียนนี้ออกมาจากความทรงจำที่เก็บไว้และถอดจากใน diary สีเทาที่บันทึกไว้ทุกวัน ขณะที่ใช้ชีวิตนักเรียนทุนรัฐบาลที่ประเทศอังกฤษ...

.. เคยคิดตลอดเวลาเช่นกันว่าส่วนใหญ่เป็นเรื่องส่วนตัวที่เราเผชิญ ก็ควรเก็บในบันทึก แต่ก็ได้ดึงส่วนที่เป็นประสบการณ์บางส่วนมาเล่า เพื่อนๆ  สอนนักศึกษา เล่าในขณะไปบรรยายตามที่ต่างๆ ก็ได้รับความสนใจเกินคาด ความที่ไม่ถนัดพิมพ์ พิมพ์ช้า (จริงๆต้องเรียกว่าจิ้ม ) ทำให้ไม่อยากจะบันทึกในอิเล็กทรอนิกส์ไฟล์  ต้องรอจังหวะเวลาที่ว่างจากสิ่งที่ตั้งใจจะทำก่อน และตอนนี้สิ่งที่ตั้งใจทำก็ได้ทำเสร็จไปแล้ว (ใช้เวลา 5 ปี) และก็มีสิ่งที่ต้องทำต่อเนื่องเข้ามาแทรกอีกเป็นระยะๆ  ทั้งงานจร งานประจำ  ก็เลื่อนมาเรื่อยจนคิดได้ว่าคงต้องทำหลายๆอย่างพร้อมกัน แต่แบ่งเวลาให้แน่นอน ก่อนที่ความจำจะเลือนๆหายไป เพราะสูงวัย (แก่) ขึ้นเรื่อยๆ


หากบันทึกนี้เป็นประโยชน์แก่ผู้ใด ก็ขอให้ติดตามสัปดาห์ละครั้งทุกวันอาทิตย์  หากไม่เป็นประโยชน์และน่าเบื่อ ก็คงต้อง บอกว่า sorry ka!!   และก็อย่าเผลอ click เข้ามาอีกนะเอ่ย!  skip ไปเลยเพราะเรื่องนี้จะเขียนเก็บอยู่ในชื่อ My Silent corner” เจ้าค่ะ :)





วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

19 sep : สวนนายดำ



เช้านี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาเสด็จมาทรงเปิดอนุสาวรีย์พระบรมราชชนก ที่มอ.


   เช้านี้ไปหลังสวน แวะทาน brunch  เช้าควบเที่ยง ที่สวนนายดำ หลังสวน ชุมพร ตั้งใจมากเลยกลายเป็นมื้อหนัก ปูผัดผงกะหรี่ ต้มยำทะเล ผักกูด+เห็ดน้ำมันหอย ทุกอย่างรสเข้ม ถูกใจแต่ไม่ถูกกาย ปกติจะไม่ทานน้ำของอาหาร แต่วันนี้ต้มยำถูกปาก เลยทานน้ำแกงไปมากหน่อย พอกลับออกมาแค่ปากทางรู้สึกหวิวๆใจสั่นเพลียทันที ตามนิสัยของนักวิทย์ ผู้สอนวิชาพิษวิทยาไล่หาสาเหตุทันที ตอนแรกคิดว่าเป็นน้ำหญ้าหวานที่ทดลองชิม เพราะยังหวานติดปาก เลยทานน้ำชาลงไป พอหมดความหวานในปาก นึกออกทันที อาการแพ้ผงชูรสนั่นเอง ครั้งนี้ไม่ไช่ผงชูรสปลอม เพราะไม่เมื่อยตัว และหายใจช่วงอกเป็นปกติ แต่เพลียไม่มีแรงพูดเท่านั้น ก็เป็นเพราะทานผงชูรสมากเกินไป หรือไม่ก็ผงชูรสมีสารปลอมปนผสมอยู่ ต่อไปต้องระมัดระวังกว่านี้ อร่อยเกินไปต้องระแวงไว้ก่อน พลาดจนได้..ให้คนขับรถจอดแวะปั๊มซื้อ sprite ดื่มทันที ประมาณ 10 นาที อาการก็ดีขึ้น ยังอีก 3 รายการสั่งมาทานที่บ้าน กุ้งกะปิสะตอ  เอ็นหอยผัดฉ่า ต้มยำทะเล (อีกชุด หุ หุ )  อันนี้ต้องเอามา dilute ก่อน

 เดินแวะดูสารพัดส้วมที่สร้างเสร็จ ไม่ได้ไปหลายเดือน ส้วมอวตารก็เสร็จแล้ว สวยดี ตอนนี้มีเพิ่มอีกหลายชุดถ่ายรูปมาหลายมุม จะเอามาลงไว้เผื่อใครไปมาทางใต้จะได้แวะพัก บ่ายเศษกลับมาถึง ฝนตกหนักพอควร โชคดีระหว่างทางเจอแค่ละอองฝน

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

18 sep: ทำวัตรเย็น


เช้า-บ่าย เขียนหนังสือ น่าจะเรียกว่าพิมพ์คอมฯมากกว่า เปิด blog meepole's note เพิ่มไว้เขียนอนุทินสั้น ๆ เตือนความทรงจำ เย็นไปสวดมนต์ทำวัตรเย็นตามปกติ คืนนี้คนมามากขึ้น 19 คน ปกติประมาณ 12-14 คน วันนี้พี่ติ่งและพี่สาวมาด้วย หัวหน้าสรรพากรและลูกน้องมาสามคน ยังนั่งบนเก้าอี้อยู่ (เพิ่งมาครั้งที่สอง) ก็แอบหวังว่าสักวันความศรัทธาและกุศลคงช่วยให้ลงมานั่งร่วมสวดและนั่งปฏิบัติกรรมฐานบนพื้นด้านล่างได้  รอวันนั้นอยู่ แต่ยังไงก็ดีที่พวกเขายังมีกุศลจิตที่มาร่วมสวด

สองทุ่มเสร็จแวะร้านยาซื้อพลาสเตอร์พิเศษ ยาอื่นๆ ใส่แผลให้พระอาจารย์ วันนี้เย็นพระอาจารย์หกล้มเพราะกวาดใบไม้ที่หน้าพระใหญ่ จีวรเปียกเลยพันขา ก้าวเท้าเลยล้มคะมำ โหนกแก้มหน้าซ้ายถลอกเลือดออกปูด ใต้จมูก ปากแตก สามีไปช่วยทำแผลให้ บอกหลายครั้งแล้วว่าอายุมากแล้วลดงานหนักลงบ้าง ให้ลูกวัดช่วยบ้าง

17 sep: ต้นธาร รีสอร์ทแอนด์สปา



เมื่อวานชวนเพื่อนบ้านไปพักผ่อนกันที่ต้นธาร รีสอร์ทแอนด์สปา ใช้เวลาเดินทาง 1.20 ชั่วโมง ทานเที่ยง อาหารบางรายการแปลกดี เช่น เห็ดหลุบ (ไม่ได้สั่ง) วายคั่ว สั่งรายการนี้ เขาว่าเป็นปลาหมึกรู ตัวเล็กแต่หนวดยาวมาก เอามาตากแห้ง แล้วเคี่ยวปรุงรสในกระทิ ไม่เหมาะสำหรับคนไขมันรวมเยอะ  แกงเลียงที่บอกว่าผักปลูกเองทั้งหมด  แกงส้มกุ้งชะอมไข่ ปลาอินทรีย์ทอดน้ำปลา น้ำผลไม้ปั่น 4 แก้ว (ไม่อร่อย ประหยัดผลไม้ ใส่น้ำหวานมากไป) รวมแล้ว 975 ถือว่าค่อนข้างแพง เมื่อเทียบกับปริมาณและรสชาติ แต่หากคิดถึงการลงทุนที่เขาอุตสาห์พยายามทำในสิ่งที่ดี จัดสภาพให้เป็นธรรมชาติก็ Ok เจ้าของชื่อคุณปราโมทย์ มานั่งคุย ไม่เคยรู้จักเป็นส่วนตัว ก็เป็นคนคุยเก่ง ประสบการณ์ตามที่ฟังก็โชกโชน แต่สุดท้ายก็เหมือนหลายๆคนที่เมื่อสูงวัยก็จะกลับมาสู่ธรรมชาติในที่สุด



เสร็จก็ไปที่เป็นจุดเด่นของที่นี่คือ fish spa  เป็นลำธารเล็กๆ
ธรรมชาติ ใช้ปลา 4 สายพันธุ์ มาฝึกให้รู้จักการว่ายเข้าหาคน พอจุ่มขา จุ่มมือลงไป ปลาตัวเล็กๆก็ว่ายรี่เข้ามาจัดการจุ๊บๆๆๆ หัวเราะกันด้วยความน่าเอ็นดู รู้สึกได้ถึงความสะอาดของมือและเท้าขึ้นมาก ต้องลองเองจึงรู้ อยู่จนเย็นกลับ แวะไปดูหมู่บ้านที่สร้างใหม่


ค่ำให้คนขับรถมาพาไปงานศพแม่ของจนท.มหาวิทยาลัย อายุ 103 ปี ไปแล้วร่วมทำบุญแล้วขอตัวกลับเลย เพราะเหนื่อยและค่ำมากแล้ว

บันทึกของ meepole

บันทึกของ meepole




ในแต่ละวันที่ผ่านไป หากเรารู้จักคิด สังเกตุ เรียนรู้ เราทุกคนจะได้ทั้งบทเรียนใหม่ๆ ข้อคิด บางอย่างน่าจดจำเพื่อนำมาใช้ เพื่อถ่ายทอดต่อ หรือ...บางอย่างก็ไม่อยากจะพบเจออีก แต่วันเวลาที่ผ่านไป เรื่องราวล้วนมากขึ้น พร้อมอายุขัยที่มากขึ้น ทำให้หลายเรื่องเลือนๆ หายไป

meepole เป็นคนที่เขียนจดบันทึกตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก เป็นความดีของคุณครู และทุกคนในครอบครัว ที่ชอบให้เล่าเรื่องให้ฟังทุกวัน ก็เลยเป็นคนที่ชอบสังเกตุเพื่อนำมาเล่าที่บ้าน  ความเป็นลูกคนเดียว หลานคนเดียวในครอบครัวทำให้เป็นไข่ในหิน อยู่ในบ้าน ไปไหนต้องมีคนในบ้านไปด้วยเสมอ จึงใช้เวลาอยู่บ้านเป็นส่วนใหญ่ ตอนเย็นๆหลังทานอาหารเสร็จก็จะเดินไปดูแลสวนกลางเมืองเล็กๆที่ห่างไปประมาณ 10 นาทีเดิน และใช้เวลาทั้งหมดอ่านหนังสือที่ม่าม้าสารพัดจะหามาให้อ่าน ทำให้เป็นคนชอบการอ่านและเขียน (มากกว่าพูด)  และรักที่จะอยู่กับบ้านติดตัวมาจนปัจจุบัน บ้านจึงเป็นวิมานเล็กๆที่ร่มเย็น สงบ ไม่วุ่นวาย ท่ามกลางต้นไม้ล้อมรอบ และสรรพสัตว์ร่วมโลก


สมุดโน๊ตเล่มเล็กก็ใหญ่ขึ้นตามตัว เก็บไว้เยอะแยะ บางครั้งพลิกอ่านก็เห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเรา ทั้งความคิด ทัศนคติต่อเรื่องต่างๆ แต่ก็คิดว่าหากเวลาย้อนกลับได้ เราก็อาจยังคงทำเช่นนั้นอีก เพราะมันคือความถูกต้อง ยังไงก็เป็นความถูกต้องอยู่ดี

ในบางเวลาเราก็อยากเขียนเรื่องที่ไม่อยากจะพูด  บางครั้งอยากบ่นอะไร แต่คิดว่าเก็บไว้ดีกว่าเพราะเสียเวลาที่จะพูดกับใคร และก็อาจทำให้เสียเวลาคนฟัง เพราะสังคมปัจจุบันเวลาเป็นเงินเป็นทอง เป็นผลประโยชน์ บางเรื่องเป็นเรื่องของความคิดเห็นที่อาจไม่มีใครเข้าใจ  หรือไม่มีทางเข้าใจ เพราะต่างบรรทัดฐาน ต่างมุมมอง ก็เก็บมาเขียนในสมุดบันทึกหรือ diary เป็นสิ่งที่เหมาะที่สุด

อันที่จริงสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของแต่ละคนแตกต่างตามวิถี และสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆเรา บางเรื่องสามารถใช้เป็นบทเรียน สอนหรือเตือนตัวเองได้ในโอกาสต่างๆและทั้งยังอาจเป็นประโยชน์ เป็นเส้นทางลัดของการเดินทางของหลายๆคนได้  ขณะเดียวกันก็อาจเป็นเรื่องไร้สาระ เสียเวลาอ่าน ของใครอีกหลายๆคนก็ได้ บางคนอาจตำหนิว่าเขียนเรื่องส่วนตัว อยากบ่นก็เขียนในสมุดส่วนตัวไม่ต้องเอามา post ให้คนอื่นเข้ามาเสียเวลา ก็นานาจิตตัง ด้วยเหตุผลที่คิดรอบๆแล้ว จึงเปิด blog ใหม่เพื่อบันทึกเรื่องราว (ค่อนข้าง) ส่วนตัวที่ผ่านไป ผ่านมาและต้องการเก็บไว้อ่าน และไม่เป็นการเสียเวลาเสียความรู้สึกของผู้ที่เข้ามา เพราะรู้ว่าที่นี่เป็น บันทึกเรื่องราวส่วนตัวที่พบเห็น และจะนำเรื่องชีวิตตอนที่ไปเรียนที่อังกฤษมาบันทึกเป็นช่วงๆไว้ ก่อนที่จะลืมเลือนไปตามกาลเวลา เป็นเรื่องที่ตั้งใจว่าจะต้องทำสักวันหนึ่ง ส่วนหนึ่งเพื่อตอบแทนคุณแก่แผ่นดิน ภาษีเงินของประชาชน ที่ให้ทุนแก่ข้าราชการโดยเปิดสอบรับทุนการศึกษาต่อต่างประเทศ ตอนแรกตั้งใจจะเขียนใน meepole's silent corner แต่ปรากฎว่ามีผู้สนใจเข้ามาอ่านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เกรงใจ จึงเปลี่ยนความคิดไปเขียนเรื่องราวที่น่าจะเกิดประโยชน์มากกว่า เรื่องบันทึกส่วนตัวจึงงดไป แต่ในแต่ละวันมีเรื่องราวผ่านมาในชีวิตการทำงาน ก็มีเรื่องที่ควรบันทึกไว้ จึงขอนำมาใส่ไว้ที่นี่แทนพื่อไม่เป็นการเสียเวลาของหลายๆคน... แต่หากท่านใดเข้ามาแล้ว สนใจติดตามต่อ ผู้เขียนก็ย่อมมีความยินดียิ่งนัก และขอบคุณในกำลังใจเช่นกัน แต่อ่านแล้วอย่าคิดมาก บางเรื่องอาจเหลือเชื่อ ก็ไม่ต้องเชื่อ เพราะเป็นสิ่งที่พบเจอมาเอง ท่านไม่ได้เจอ บางเรื่องเป็นความเชื่อส่วนบุคคล อ่านแล้วก็วางๆ หุ หุ ไปนะเจ้าคะ  :0)

ติดตามอ่านเรื่องอื่นๆของ meepole ได้ที่