(ต่อ..) เนื่องจากทุนที่เราสอบเป็นทุนที่ให้มาเรียนในสาขา biotechnology (เทคโนโลยีชีวภาพ) เป็นทุนของ World Bank สอบข้อเขียน แล้วสอบสัมภาษณ์ การเลือกเรียนจึงต้องระบุสาขาให้ตรงกับทุน ตอนสัมภาษณ์มีคนต่างชาติมาสัมภาษณ์ด้วย เขาจะเป็นคนถามด้านวิชาการที่เราสนใจจะไปเรียน เราเลือกเรียน Environmental biotechnology มี 4 มหาวิทยาลัยใน UK ที่สมัครไปตอบรับ ปรึกษาหลายคนมาก รวมทั้งอาจารย์ที่มอ.ที่สอนเรามา อาจารย์ที่เรียนจบที่ UK ในที่สุดมีเสียงเอกฉันท์ให้เลือกที่นี่ King's college, University of London และตอนที่เรียนปริญญาโทเราเรียนสาขา Biochemistry (ชีวเคมี) โดยเป็น research program ดังนั้นเมื่อมาต่อปริญญาเอกเขา require research program หากไม่เคยทำวิจัยมาก่อนเขาไม่รับ และหากจะเรียนก็ต้องเริ่มที่ป.โทใหม่ ดังนั้นเราจึงไม่ต้องมี course work แต่นักศึกษาป.เอกทุกคนต้องเรียนวิชาที่เขาให้เลือก 3 วิชา ภายใน 2 ปีแรก ไม่มีหน่วยกิตเพียงแต่แจ้งไปยังสาขาว่าเราเลือกหัวข้ออะไร วิชาที่ให้เลือกมีเยอะมาก แต่เราต้องรู้เองว่าเราจะเอาความรู้ในวิชานั้นๆมาใช้กับตัวเราอย่างไร อันนี้ไม่เป็นปัญหาส่วนใหญ่นศ.ต่างชาติที่ภาษาไม่แข็งแรงมากนักต้องพักฟื้น ปรับหู ให้ชินก่อน จึงไม่เรียนทันที มักไปเริ่มเรียนเทอม 2 เราก็เช่นกัน ช่วงแรกขอปรับการฟังให้มากหน่อย เขาพูดเร็วมาก สำเนียงเพราะแต่ไม่คุ้นหู เพราะส่วนมากสมัยก่อนเราเรียนคุ้นกับสำเนียงแบบอเมริกันมากกว่า
ชั้นล่างของตึก มองขึ้นไปซ้ายมือชั้นสองเป็นห้องสมุดทั้ง floor ตอนหน้า
เมื่อ supervisor Jeremy เอาเอกสาร 50 หน้ามาให้ศึกษา บอกว่าให้เอาไปดู 1เดือน แล้วคิดว่าสนใจงานลักษณะไหน เราก็เอากลับมาห้องพักอ่าน ช่วงต่อจากนี้สามีกลับไทยแล้ว link มาอยู่ 7 วัน คราวนี้ก็ home sick แม้ว่าตอนที่ไปอายุจะมากแล้ว ไม่ไช่วัยแรกรุ่น เป็นวัยกลางคน แต่อาการ home sick ห้ามกันไม่ได้จริงๆ ร้องๆๆๆๆอย่างเดียว เห็นเครื่องบินๆผ่านหอพักทุกวัน วันละหลายเที่ยวบิน แหงนมองส่งใจกลับไทย ถ้าเหาะ เวป ได้จะกระโดดเกาะเครื่องบินทุกวัน ทุกข์และเศร้ามากๆๆๆ ยากที่ใครจะเข้าใจว่าทำไมต้องเศร้าขนาดนั้น ส่วนมากเขาคงดีใจที่ได้มาอยู่กลางมหานครลอนดอน อะไรๆก็ตื่นตาไปหมด แต่เรากลับหดหู่ ไม่เคยเห็นดอกไม้สดใสเลย เป็นเช่นนี้เกือบ 2 ปี หลังจากนั้นอาการนี้ก็หายไปเพราะมีเพื่อนบ้าง รู้อะไรๆเพื่มขึ้น ที่สำคัญมีเรื่องเครียดที่ต้องใส่ใจและแก้ปัญหามากกว่าจะมานั่งคิดถึงบ้านคือเรื่องเรียน
ตอนแรกสงสัยมากว่าเอกสาร 50 หน้าทำไมให้เวลามากจังตั้งเดือน อ่านอาทิตย์เดียวก็จบ ปรากฎว่าเมื่อเริ่มตั้งใจอ่านเปิดดู ทุกหน้าที่ให้คือ abstract บทคัดย่องานวิจัย หน้าละ 2 เรื่องแสดงว่ามี100งานวิจัย และที่สำคัญคือ font ที่พิมพ์เล็กมาก ก็เลยเข้าใจเพิ่มขึ้นว่าจริงๆคือ 100 หน้า 100เรื่อง แต่ก็น่าจะ 10 วันอ่านจบ เมื่อเริ่มอ่านปรากฎว่าตั้งใจ สนใจอ่านมาก scan วันเดียวจบ 50 หน้านั้น โดยไม่รู้เรื่องอะไรเลยที่อ่าน นอกจากเรื่องไหนที่เป็นเคมี ชีวเคมีจะรู้เรื่องบ้าง แต่บางเรื่อง(ส่วนมาก) ไม่รู้อะไร มันเกี่ยวกับพันธุศาสตร์เพราะรู้ศัพท์ เราเป็นคนที่ค่อนข้างแม่นศัพท์ทางวิทยาศาสตร์พอควร จำได้มาก แต่ไม่สามารถอ่านเอาเรื่องได้เพราะที่เห็นนั้น ไม่เข้าใจเลย มันเป็นเรื่องอะไร ก็เลยถึงบางอ้อ ว่าทำไม jeremy จึงบอกว่าให้อ่านเป็นเดือน ในที่สุดตั้งสติใหม่ ค่อยๆอ่านเรื่องที่เข้าใจง่ายก่อน ขนาดเข้าใจง่ายยังอ่านแล้วอ่านอีกแค่บทคัดย่อ ไม่น่าเชื่อ ในที่สุดเหลือที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็พยายามดูว่ามันเป็นเรื่องสาขาไหนกันแน่ ทำไมมันแกะไม่ออก สุดท้ายก็เข้าห้องสมุดค้นอะไรๆที่ไม่เข้าใจ ค่อยๆแกะ แคะ ในที่สุดก็เหลือที่สุดๆ ไม่รู้ว่ามันคืออะไร โดยรวม ในที่สุดใช้เวลาทั้งหมด 2 สัปดาห์ อ่านแล้วอ่านอีกคิดว่าน่าจะพอแล้ว ตัดสินใจว่าจะนัดเจอ Jeremy อีกครั้ง เจอทำอะไร?? งงๆๆ